แกะสูตรโต ‘นายอ้วนเย็นตาโฟ’ จากร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ย่านเสาชิงช้า กลายเป็น 43 สาขา รายได้ทะลุร้อยล้าน

หากพูดถึง ‘ย่านเสาชิงช้า’ หลายคนคงนึกถึงวัดโบราณ ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือบรรยากาศเมืองเก่ากรุงเทพ

แต่ยังมีอีกหนึ่งภาพจำของย่านนี้ คือ ‘นายอ้วนเย็นตาโฟ’ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่คู่คนกรุงเทพมานานกว่า 55 ปีตั้งแต่รุ่นตายาย และสืบทอดความอร่อยมาถึงรุ่นหลาน

Brand Inside มีโอกาสคุยกับ ‘กิจ-ศุภกิจ ตระกูลกิจเจริญ’ ทายาทรุ่นที่สามของร้าน ‘นายอ้วนเย็นตาโฟ’ ถึงความเป็นมาของนายอ้วน และเบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวจากรุ่นอากง เติบโตจนกลายเป็นแบรนด์ดังในวันนี้

จากร้านเล็กย่านเสาชิงช้า สู่แบรนด์เย็นตาโฟ 43 สาขา

จุดเริ่มต้นของ ‘นายอ้วนเย็นตาโฟ’ เกิดขึ้นในปี 2503 จากอากงอาม่าที่อยากทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ด้วยการขาย ‘เย็นตาโฟ’ และ ‘ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา’ เมนูเรียบง่ายที่ใช้วัตถุดิบไม่มากนัก ในย่าน ‘เสาชิงช้า’ ซึ่งค่อยๆ ได้รับความนิยม จนกลายเป็นจุดหมายของคนแถวนั้น

‘กิจ’ เล่าว่า เดิมทีลูกค้าจะเรียกกันว่า “เย็นตาโฟเสาชิงช้า” เพราะเป็นร้านดังประจำย่านนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘สมัคร สุนทรเวช’ อดีตนายกรัฐมนตรีมาทานที่ร้าน เขาเห็นอากงตัวอ้วนจึงเรียกขึ้นมาว่า “นายอ้วน” ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายแบบสุภาพในยุคนั้น

แต่ใครจะไปรู้ คำเรียกเล่นๆ กลับกลายเป็นชื่อที่ติดปาก และกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้านในเวลาต่อมา หลังจากสร้างชื่อเสียงในย่านเก่า นายอ้วนเย็นตาโฟก็ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับกรุงเทพ

จนในปี 2525 รุ่นพ่อ ‘พรชัย ตระกูลกิจเจริญ’ เข้ามารับช่วงต่อ และเริ่มผลิตวัตถุดิบเองทั้งหมด เพื่อควบคุมคุณภาพรสชาติให้คงที่ ไม่ว่าจะกินเมื่อไรหรือที่ไหน ก็ต้องได้รสเดียวกัน ความละเอียดอ่อนในเรื่องวัตถุดิบจึงกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ส่งต่อมาถึงรุ่นลูก

กระทั่งในปี 2555 ร้านเข้าสู่ยุครีแบรนด์เต็มตัว โดยหยิบเอาความเป็นเอกลักษณ์ของ ‘บะเต็ง’ หมูสามชั้นติดมันที่ผ่านกรรมวิธีเคี่ยวกับซอสนายอ้วน จนได้รสหวานเค็มกลมกล่อม มาสร้างเป็นจุดขายหลักของแบรนด์ และพัฒนาเมนูให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น

‘กิจ’ เล่าว่า ในรุ่นของเขา พี่น้องทุกคนตั้งใจจะพาแบรนด์ออกจากเสาชิงช้าให้คนไทยรู้จักทั้งประเทศ โดยมีน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งไปเรียนด้านการครัวที่ ‘Le Cordon Bleu’ เข้ามาช่วยต่อยอดเมนูใหม่ เช่น ‘เส้นหมี่กรอบเย็นตาโฟ’ ที่กลายเป็นเมนูขายดี และ ‘ข้าวกะเพราบะเต็ง’ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ‘กิจ’ ยังตัดสินใจรีแบรนด์โลโก้ ด้วยแนวคิดที่ว่า ถ้าคนมากินก๋วยเตี๋ยวร้านนายอ้วน มันควรจะมีอะไรที่ทำให้คนจำได้ง่าย เขาจึงออกแบบโลโก้ และภาพรวมของร้านให้สะท้อนตัวตนของแบรนด์ ที่มีต้นกำเนิดจาก ‘เสาชิงช้า’

ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างเอกลักษณ์ทางสายตา แต่เป็นการสื่อสารถึงราก และเรื่องราวที่สืบต่อกันมาหลายรุ่น เพื่อให้ทุกคนที่เห็นโลโก้เข้าใจทันทีว่า นี่คือนายอ้วนเย็นตาโฟจากเสาชิงช้า

อย่ารอให้ลูกค้ามาหา ยุคนี้เราต้องเข้าไปหาลูกค้าเท่านั้น

การสานต่อธุรกิจไม่ใช่แค่การรักษาสูตรดั้งเดิม แต่ ‘กิจ’ มองว่า ต้องทำให้แบรนด์ยังมีชีวิตในโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เขามองแบบนี้เพราะตอนเด็ก ‘นายอ้วน’ ยังเป็นร้านดังเฉพาะย่านเสาชิงช้า แต่พอเริ่มออกไปตามอีเวนต์ หรือจัดบูธข้างนอก กลับพบว่า คนนอกพื้นที่แทบไม่รู้จักเลย

แต่เมื่อ ‘กิจ’ ได้เจอลูกค้าเก่าๆ ที่เคยกินแล้วเลิกกินเพราะย้ายบ้านออกไป ก็ทำให้รู้ว่า ถ้าอยากให้คนยังได้กินรสชาติเดิม เขาต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาลูกค้า ไม่ใช่รอให้ลูกค้ามาหาเขา

การตัดสินใจครั้งสำคัญเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ในช่วงนั้น นายอ้วนมีทั้งหมด 16 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่อยู่ในห้างมากถึง 15 แห่ง เมื่อห้างปิดก็เหลือเพียงสาขาเดียวที่เปิดได้ แต่พนักงานทั้งหมดต้องได้รับการดูแล

นั่นทำให้ ‘กิจ’ ตัดสินใจเร่งขยายสาขานอกห้าง เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้ให้พอเลี้ยงทั้งองค์กร โดยไม่ได้มองแค่การอยู่รอดของธุรกิจ แต่มองไปถึงการอยู่รอดของคนทั้งทีม

‘กิจ’ เสริมว่า สิ่งที่ทำให้การขยายสาขาประสบความสำเร็จ คือการใช้ ‘ข้อมูลจริง’ เป็นตัวนำทาง โดยเขาเข้าไปคุยกับ ‘LINE MAN’ เพื่อดูว่าในแต่ละวัน ลูกค้าที่สั่งนายอ้วนอยู่ที่ไหนบ้าง และนำข้อมูลนั้นมาพล็อตเป็นแผนที่ ก่อนจะค่อยๆ ขยายสาขาเข้าไปใกล้ลูกค้ามากที่สุด

“ก๋วยเตี๋ยวเป็นของที่อยู่ได้ไม่นานเกินครึ่งชั่วโมง ถ้านานกว่านั้น เส้นจะจับเป็นก้อน ไม่อร่อยเหมือนกินที่ร้าน เราจึงต้องทำให้ลูกค้าได้กินของที่สดที่สุด แม้จะสั่งเดลิเวอรีก็ตาม”

ปรับโครงสร้าง เพิ่มให้แบรนด์แข็งแรงขึ้น

แต่การขยายสาขาอย่างเดียวไม่พอ ‘กิจ’ มองว่าโครงสร้างหลังบ้านต้องแข็งแรงด้วย

เขานิยามบทบาทตัวเองว่าเป็นเหมือน ‘วุ้นแปลภาษา’ ขององค์กร คอยอธิบายให้คนรุ่นก่อนเข้าใจว่า การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น ระบบ POS ช่วยให้การตรวจสอบยอดขาย และต้นทุนแม่นยำขึ้น แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แต่ก็ป้องกันการรั่วไหลได้ดีกว่า

“ถ้าเรามัวแต่เสียดายเงินเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายอาจเสียหายหนักจากการทุจริตโดยไม่รู้ตัว”

ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้หยุดแค่ระบบหลังบ้าน แต่ยังขยายไปถึงหน้าบ้าน ‘กิจ’ เริ่มขยายเวลาเปิดร้านให้ดึกขึ้น เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ และมองหาทำเลที่มีศักยภาพสูงอย่างพื้นที่รอบโรงพยาบาล หรือชุมชนหนาแน่น เพื่อให้แบรนด์ได้อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน

โดยเฉพาะการทำธุรกิจร้านอาหารในยุคนี้ ลูกค้าจะไม่วิ่งมาหาแบรนด์เองแล้ว แต่แบรนด์ต้องเดินเข้าไปอยู่ในที่ที่มีลูกค้าอยู่ เพราะถ้ายังอยู่ที่เดิมแล้วรอ คงไม่พอให้ธุรกิจเติบโต

ทำกำไรตั้งแต่ปีแรก และยังคงโตต่อเนื่อง

ปัจจุบัน นายอ้วนเย็นตาโฟมีทั้งหมด 43 สาขา ทั้งหมดตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แบ่งเป็น:

  • ร้านสาขา (นั่งทานได้ มีบริการเดลิเวอรี) 8 สาขา
  • สาขาฟู้ดฮอลล์ (ไม่มีบริการเดลิเวอรี) 19 สาขา
  • สาขาคอมมูนิตี้ฮอลล์ (นั่งทานได้ มีบริการเดลิเวอรี) 14 สาขา
  • สาขาคลาวด์ (เดลิเวอรีอย่างเดียว นั่งทานไม่ได้) 2 สาขา

ส่วนผลประกอบการ ‘บริษัท นายอ้วนเย็นตาโฟเสาชิงช้า จูเนียร์ จำกัด’ ทาง Brand Inside พบว่า ทำกำไรทุกปีนับตั้งแต่เปิดร้าน แถมยังเติบโตต่อเนื่อง:

  • ปี 2566 รายได้ 107.34 ล้านบาท กำไร 5.11 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 67.02 ล้านบาท กำไร 4.60 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 32.61 ล้านบาท กำไร 1.81 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 29.85 ล้านบาท กำไร 2.32 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้ 29.42 ล้านบาท กำไร 2.24 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 17.81 ล้านบาท กำไร 0.35 ล้านบาท
  • ปี 2560* รายได้ 1.55 ล้านบาท กำไร 0.23 ล้านบาท
    *งบไม่เต็มปี

‘กิจ’ ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจที่อยู่มานานต้องทำสองสิ่งควบคู่กัน คือรักษาเอกลักษณ์ที่ทำให้คนจดจำ และปรับตัวให้ทันโลก เพื่อให้แบรนด์ที่อยู่มานานกว่า 55 ปี เดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางการแข่งขัน และตัวเลือกที่มากกว่าที่เคย

ที่มา: Thailand Restaurant Conference 2025

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา