นี่คือเรื่องราวของ ‘โจ๊กบางกอก’ ร้านโจ๊กที่ยอดขายไม่โจ๊ก จากอาหารเช้าที่เปิดในห้องแถว สู่แฟรนไชส์โจ๊กหลักร้อยสาขา ที่ยืนระยะผ่านร้อนหนาวมาแล้วกว่า 22 ปี
‘เคียว-สมชัย ธุระกิจเสรี’ ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ ‘โจ๊กบางกอก’ มาพร้อมปรัชญาที่ทำให้ธุรกิจเติบโตมานานกว่า 20 ปี คือเดินไปข้างหน้าด้วยหลักคิดว่า “ให้สาขาอยู่รอดก่อน เราถึงจะรอด”
หนึ่งในเรื่องน่ารักของ ‘โจ๊กบางกอก’ คือให้เติมหมี่กรอบฟรีไม่อั้น จนกลายเป็นร้านที่เด็ก ๆ อยากทานทุกเช้า ไปจนถึงการช่วยคนที่มีทุนแค่ครึ่งเดียวให้ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ
แล้วแนวคิดนี้นำไปสู่ผลลัพธ์แบบไหน? เราลองมาดูกัน
จากโจ๊กห้องแถวสู่แฟรนไชส์ 200 สาขา
จาก ‘โจ๊ก’ มื้อเช้าที่ทุกคนกินตามตึกแถว จนกลายมาเป็นแฟรนไชส์โจ๊กบางกอก เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2545 คุณเคียวและพี่ชายที่โตมาในธุรกิจอาหารที่มีทั้งร้านสเต๊ก, ก๋วยเตี๋ยว และโจ๊ก เล็งเห็นว่าในตอนนั้นยังไม่มีแฟรนไชส์โจ๊กและเป็นช่องว่างตลาดที่น่าสนใจ จึงเริ่มสาขาแรกที่โชคชัย 4
2545 เป็นยุคแรก ๆ ของธุรกิจแฟรนไชส์ในเมืองไทย ประกอบกับมองเห็นยอดขายจากร้านที่มีอยู่แล้ว คุณเคียวจึงเห็นว่าธุรกิจนี้มียอดขายที่ดี และมีศักยภาพในการทำยอดขายเฉลี่ยระดับ 50,000 บาทต่อวัน เลยนำมาต่อยอดจากแค่ร้านโจ๊กเดี่ยว ๆ สู่แฟรนไชส์ ในรูปแบบร้านโต้รุ่งในยุคแรก เปิดตั้งแต่ 16:00 น. ถึง 9:00 น.
หนึ่งปีให้หลังจากที่เริ่มเปิดร้านสาขาแรก โจ๊กบางกอกได้เข้าร่วมโครงการของกรมพัฒนาธุรกิจ ซึ่งมีโครงการ B2B ทำให้ได้แบ่งปันความรู้กับแบรนด์แฟรนไชส์ใหญ่ ๆ และยังทำให้คนเริ่มรู้จักแบรนด์โจ๊กบางกอกขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มมีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์
จนมาถึงปี 2547 จุดเปลี่ยนของแบรนด์คือการไปออกรายการ ‘ช่องทางทำกิน’ ทำให้จำนวนแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 40 สาขา และใน 10 ปีแรก ก็ขยายได้ถึง 130 สาขา และอีกจุดเปลี่ยนคือ การไปออกรายการ ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ ทำให้มีผู้ประกอบการเจ้าใหม่รู้จักแบรนด์โจ๊กบางกอก ดันยอดแฟรนไชส์โตขึ้นทะลุ 200 สาขา
กำไรไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะทำให้ ‘โจ๊กบางกอก’ โตได้
โจ๊กบางกอกเปิดลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้นเพียงแสนนิด ๆ แบ่งเป็นค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 10,000 บาท ค่าอุปกรณ์ 100,000 บาท แต่การรับการลงทุนแฟรนไชส์ คุณเคียวไม่ได้สนเพียงการเข้ามาซื้อและขายแฟรนไชส์ บางทีถ้ามีผู้สนใจแต่ไม่มีทุนคุณเคียวก็อยากช่วยลงทุน
คุณเคียวได้เล่าว่า “เคยมีบางร้านแบบว่า เฮียมีเงิน 50,000 ช่วยหน่อยเราก็ต้องดูทำเลเขาก่อน ถ้าทำเลมีความเป็นไปได้สูงเนี่ย เราก็ซัพพอร์ตเขา ทำป้ายให้ใช้ก่อน ให้ยืมเคาน์เตอร์อะไรไปก่อน ผ่านไป 10 ปี กลับมาดูเขาขายได้จนชีวิตเปลี่ยนเราก็มีความสุข”
เพราะบางอย่างเราไม่ได้ดูเพียงกำไรที่จะเข้ามาอย่างเดียว บางอย่างเราต้องมองที่ผู้ประกอบการที่เขาซื้อ
แฟรนไชส์ไปว่าสามารถอยู่ได้ไหม “เพราะถ้าเขาอยู่ได้นาน เราก็จะอยู่ได้เหมือนกัน”
โดยคุณเคียวกล่าวเสริม “ผู้ประกอบการก็เป็นทั้งลูกค้า เป็นพาร์ทเนอร์ ถ้าเราเน้นกำไรมองแต่ตัวเลขขึ้นราคาสินค้าอยู่ตลอด ตัวแบรนด์เองก็จะกระทบ ถ้าเค้าปิดไป ยอดขายเราก็ตก ปรัชญาง่ายๆ อันแรกคือ ให้เขาอยู่ได้ก่อน และใช้หลักการนี้เหมือนกันในการดูแลลูกค้า”
นอกจากโจ๊กที่เป็นจุดขายแล้ว อีกหนึ่งจุดขายคือหมี่กรอบที่สามารถตักได้ไม่อั้น ซึ่งบางร้านอาจจะมองว่าเป็นต้นทุนที่สิ้นเปลือง แต่สำหรับคุณเคียว ซึ่งเคยเจอนักเรียนมา 4-5 คน สั่งโจ๊กเปล่าและตักแต่เครื่องเคียง กลับมองว่าการที่ลูกค้ากินอิ่มและกลับมาบ่อย ๆ ดีกว่าการที่ขายแต่ละถ้วยและมองแต่กำไร
คนแห่เปิดร้านอาหาร แต่ ‘โจ๊กบางกอก’ มองเป็นโอกาส
เชื่อว่าหลังโควิด เศรษฐกิจก็เริ่มเป็นขาลง แต่ในวงการอาหารความยากนอกจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีคือการที่มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ในละแวกเดียวกันจากที่มีร้านอาหาร 5 ร้าน กลับมีเป็นเกือบ 10 ร้าน ซึ่งก็กระทบต่อผู้ประกอบการ ยอดขายหน้าร้านก็มีลดลงบ้างบางสาขา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โจ๊กบางกอกมีรายได้ ดังนี้
- ปี 2563 รายได้ 13.7 ล้านบาท กำไร 1.3 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 15.8 ล้านบาท กำไร 1.3 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 16.6 ล้านบาท กำไร 1.1 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 15.1 ล้านบาท กำไร 0.73 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้ 13.3 ล้านบาท กำไร 0.57 ล้านบาท
แต่โดยภาพรวมก็มีข้อดีในเรื่องร้าย เพราะการมีร้านมากขึ้นหมายความว่า มีผู้ประกอบการหน้าใหม่กระโดดเข้ามาวงการอาหารมากขึ้น ทำให้มีผู้ประกอบการที่มาซื้อแฟรนไชส์มากขึ้นไปด้วย ตั้งแต่หลังโควิดโจ๊กบางกอกโตขึ้นอยู่ตลอด ปีหนึ่งก็โตประมาณ 10-20 สาขา
ในขณะที่ปัญหาเหมือนจะทุเลา แต่อุปสรรคใหม่ ๆ ก็เข้ามาในปี 2565 ที่เกิดวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี เนื้อหมูมีราคาแพงมาก ทำให้เป็นช่วงที่ต้องปรับตัวเพื่อให้รอดผ่านไปได้
ในรอบ 20 ปี คุณเคียวไม่เคยใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมตร้านเลย แต่จะเน้นเป็นการได้ออกรายการทีวีหรือการที่มีคนรู้จักผ่านการสัมภาษณ์ นี่คือหนึ่งจุดที่มีการปรับตัว
อีกเรื่องคือ คุณเคียวต้องเปลี่ยนจากการบริหารแบบมวยวัด ไปสู่การศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ เพื่อมาต่อยอดร้าน เพราะในตอนนี้การแข่งขันในวงการอาหารนั้นมีสูงมาก การบริหารแบบเดิม ๆ จะเสี่ยงต่ออนาคต
‘โจ๊กบางกอก’ จะโตได้ ต้องไปไกลกว่าโจ๊ก
เมื่อถามถึงอนาคตของโจ๊กบางกอกที่จำนวนสาขาโตขึ้น 10% ในทุกปี คุณเคียวเล่าว่ายังมีแพลนในอนาคตที่จะเปิดแบรนด์ใหม่มาต่อยอดความสำเร็จ จากโจ๊กที่มีสาขามากกว่า 200 สาขา มาเป็นแฟรนไชส์หมูกรอบที่เป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้ผู้ประกอบการที่เคยซื้อแฟรนไชส์โจ๊กสามารถมาเพิ่มเมนูใหม่ ๆ หรือจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ที่เข้ามาซื้อแค่แฟรนไชส์หมูกรอบก็ได้
และคุณเคียวยังได้สปอยล์ทิ้งท้ายว่านอกจากโจ๊ก และหมูกรอบ ยังจะมีแฟรนไชส์ใหม่ ๆ เอาใจสายของหวานเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารที่ร้าน เพราะถ้ามีเครื่องดื่ม หรือเบเกอรี ก็จะเข้ามาตอบโจทย์อาหารใน 1 มื้อได้อีกด้วย แต่จะมาเป็นแบรนด์อะไรยังต้องรอก่อน โดยคาดว่าในปีหน้าจะได้รู้แน่นอน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา