AIFC ศูนย์กลางการเงินคาซัคสถาน ยุทธศาสตร์ดึงเม็ดเงินทั่วโลกด้วย Common Law และ Fintech

ในขณะที่โลกการเงินจับตามองศูนย์กลางการเงินยักษ์ใหญ่ในเอเชียอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง อีกมุมหนึ่งของทวีปที่เชื่อมต่อระหว่างยุโรปและเอเชีย ประเทศคาซัคสถานกำลังเดินหน้าเพื่อผลักดัน Astana International Financial Centre (AIFC) ให้กลายเป็นฮับการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาค

AIFC ไม่ใช่เพียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่เป็นระบบนิเวศทางการเงินที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเข้าถึงตลาด CIS (Commonwealth of Independent States) อาทิ รัสเซีย, คาซัคสถาน, เบลารุส, อุซเบกิสถาน, ทาจิกิสถาน, คีร์กีซสถาน และ อาร์เมเนีย ที่มี GDP รวมกว่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และประชากรกว่า 245 ล้านคน จากข้อมูลการจัดอันดับ Global Financial Centres Index (GFCI) ณ เดือนกันยายน 2025 เมืองอัสตานาอยู่ในอันดับที่ 68 แซงหน้าศูนย์กลางการเงินอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างอิสตันบูล (อันดับ 88) และมอสโก (อันดับ 108)

Brand Inside ชวนมาวิเคราะห์โมเดลของ AIFC ผ่านข้อมูลเชิงลึกจากการบรรยายและเอกสารนำเสนอ ว่าอะไรคือ “แม่เหล็ก” ที่พวกเขากำลังใช้เพื่อดึงดูดทุนและเทคโนโลยีจากทั่วโลก

ใช้ “กฎหมาย Common Law” สร้างความเชื่อมั่น

หัวใจสำคัญที่ทำให้ AIFC แตกต่างจากเขตอำนาจศาลทั่วไปของคาซัคสถานและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค คือการนำ ระบบกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ (English Common Law) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

นี่คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เพราะนักลงทุนจากชาติตะวันตกคุ้นเคยกับหลักการและแนวทางของ Common Law เป็นอย่างดี ซึ่งมีลักษณะเด่นคือความยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อนวัตกรรม ทาง AIFC อธิบายว่า ในขณะที่ระบบกฎหมาย Civil Law ของคาซัคสถานจำเป็นต้องมีการออกกฎหมายมารองรับก่อนจึงจะสามารถทำสิ่งใหม่ๆ ได้ แต่ในระบบ Common Law ทุกอย่างสามารถทำได้โดยปริยาย ตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายหรือคำพิพากษากรณีตัวอย่าง (Precedent) มาห้ามไว้

ทั้งนี้ AIFC ได้จัดตั้ง ศาลและศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ที่เป็นอิสระจากระบบศาลของคาซัคสถานโดยสิ้นเชิง ผู้พิพากษาทั้ง 10 คนล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากเนติบัณฑิตยสภาของสหราชอาณาจักรหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วยการันตีมาตรฐานและความเป็นกลางในการพิจารณาคดีแพ่งและพาณิชย์

ระบบนิเวศที่ครบวงจร: เปรียบดั่ง “ทางด่วน” สู่โอกาสการลงทุน

มีการเปรียบเทียบ AIFC ไว้อย่างเห็นภาพว่าเป็น “ทางด่วนความเร็วสูง” สำหรับภาคธุรกิจ โดยมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานประสานกันดังนี้

  • ปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วมในระบบนิเวศของ AIFC แล้วกว่า 4,400 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงการเงิน แต่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เหมืองแร่, ไอที, พลังงาน, การเกษตร และเฮลท์แคร์
  • ตลาดหลักทรัพย์ Astana International Exchange (AIX) ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ ด้วยจำนวนหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนมากกว่า 330 รายการ, บัญชีนักลงทุนกว่า 2.2 ล้านบัญชี และมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน AIFC สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่เศรษฐกิจคาซัคสถานได้ถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • AIFC เสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับบริษัททางการเงินที่ได้รับอนุญาต (Authorised firms) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT), ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผล (WHT) อย่างไรก็ตาม มีบริษัทเพียง 9-10% ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มรูปแบบนี้ เนื่องจากต้องเป็นบริษัทที่ถือใบอนุญาตประกอบธุรกิจทางการเงินเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีระบบวีซ่าและการจ้างงานที่ง่ายและรวดเร็วกว่าปกติ

ก้าวสู่พรมแดนใหม่ Fintech, Crypto และ Tokenization

สิ่งที่ทำให้ AIFC โดดเด่นในฐานะศูนย์กลางการเงินยุคใหม่ คือการเปิดรับและวางกรอบกำกับดูแลเทคโนโลยีทางการเงินอย่างจริงจัง

  1. ศูนย์กลาง Crypto ที่ถูกกฎหมายแห่งเดียวในภูมิภาค AIFC เป็นเขตอำนาจศาลเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียกลางที่มีการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและ Cryptocurrency อย่างเต็มรูปแบบ (Full Regulation) ไม่ใช่แค่การรับรู้ (Acknowledgement) การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับในระดับสากลทำให้สามารถดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Binance และ Bybit เข้ามาจัดตั้งและดำเนินธุรกิจได้

  1. โครงการเปลี่ยน “ธัญพืช” เป็น “โทเคนดิจิทัล” (Grain Tokenization) นี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่สุดที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของ AIFC คาซัคสถานเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลก แต่เกษตรกรมักประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในช่วงหลังเก็บเกี่ยว
  • ปัญหา เกษตรกรต้องนำใบรับฝากธัญพืชไปค้ำประกันเงินกู้จากธนาคาร ซึ่งในอดีตเคยเกิดปัญหาวิกฤตจนธนาคารไม่ยอมรับใบรับฝากอีกต่อไป ทำให้เกษตรกรต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง
  • ทางออก AIFC Tech Hub ได้ริเริ่มโครงการนำธัญพืชที่เก็บอยู่ในไซโลมาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Tokenization) โดยแต่ละโทเคนจะแทนปริมาณธัญพืชจริงที่ตรวจสอบได้
  • ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
    • เพิ่มสภาพคล่อง นักลงทุนรายย่อยจากทั่วโลกสามารถเข้ามาซื้อโทเคนธัญพืชนี้ผ่านแอปพลิเคชันได้ เสมือนการระดมทุน (Crowdfunding) ให้กับเกษตรกรโดยตรง
    • ต้นทุนต่ำ เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้ยืมแบบดั้งเดิมมาก
    • สร้างตลาดใหม่ สร้างระบบนิเวศสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ดิจิทัลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

โครงการนี้มีแผนจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ และ AIFC ตั้งเป้าที่จะขยายโมเดล Tokenization นี้ไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ในอนาคต เช่น อสังหาริมทรัพย์, แร่ธาตุต่างๆ หรือแม้กระทั่งยูเรเนียม ซึ่งคาซัคสถานเป็นผู้ผลิตและส่งออกอันดับหนึ่งของโลก

บทสรุป

โมเดลของ AIFC คือการสร้าง “เขตทดลอง” ทางกฎหมายและเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาภายในประเทศ โดยใช้ “ความไว้วางใจ” ที่เกิดจากระบบกฎหมาย Common Law เป็นรากฐาน แล้วเสริมด้วย “แรงจูงใจ” ทางภาษีและ “ความทันสมัย” ของเทคโนโลยี Fintech เพื่อแข่งขันในสนามการลงทุนระดับโลก

สำหรับทุนต่างชาติแล้ว กรอบกฎหมายที่คาดการณ์ได้และเป็นมาตรฐานสากลคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด การที่ AIFC สามารถดึงดูดบริษัทกว่า 4,400 แห่งและเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ได้ในเวลาไม่กี่ปี พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางนี้กำลังมาถูกทาง และโครงการอย่าง Grain Tokenization ก็เป็นหมุดหมายสำคัญที่ชี้ว่า AIFC ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงศูนย์กลางการเงินแบบดั้งเดิม แต่กำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในเวทีระดับโลก

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา