อยากไปเที่ยวรอบโลกแบบมีอะไรทำ คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ‘พอลลี่ เฮสันต์’ เลือกทำธุรกิจร้านชาที่เธอเชื่อว่าจะสามารถขยายไปทั่วโลกได้ และแค่ปีแรกปีเดียวธุรกิจชาของเธอก็กวาดรายได้ไปเกือบ 80 ล้านบาท พร้อมความฝันในฐานะแบรนด์ไทยที่จะสร้างตำนานระดับโลก
คิดตั้งแต่วันแรกว่า อยากพาธุรกิจไทยไปทั่วโลก
เรื่องที่เล่าข้างบนเป็นเรื่องจริง เพราะก่อนเริ่มธุรกิจ ‘เจี้ยนชา’ ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘พอลลี่ เฮสันต์’ เติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ ทำให้นอกจากจะชอบทำธุรกิจและอยากเป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอยังได้ฝึกฝนทักษะด้านการค้ามาตลอดผ่านหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ธุรกิจอาหารเสริม ธุรกิจขายรถมือสอง ธุรกิจสปาและธุรกิจเล็กๆ อีกหลายอย่าง
รวมถึงธุรกิจโรงงานเบเกอรี่ภายใต้แบรนด์ ‘วรรณวนัช’ ที่ช่วยสอนประสบการณ์การทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มให้กับเธอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘พอลลี่’ ที่เริ่มอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำ และตัดสินใจจะใช้ความหลงใหลในการเดินทางไปต่างประเทศ มาสร้างธุรกิจของตัวเอง จึงเริ่มตั้งต้นธุรกิจจากการมองหา “ธุรกิจที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก” และนั่นทำให้เธอคิดถึง ‘ชา’ ที่เธอชอบดื่มขึ้นมา
ก่อนที่จะออกมาเป็น ‘เจี้ยนชา’ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้ ‘พอลลี่’ เริ่มต้นจากการค้นคว้าย้อนกลับไปว่า พันปีที่ผ่านมา โลกของการดื่มชาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เทรนด์แห่งการดื่มชาเปลี่ยนแปลงไปยังไง
ระหว่างการย้อนดูประวัติศาสตร์ พอลลี่ก็ได้เห็นว่าทำไม ‘ชานมไต้หวัน’ ถึงฮิตไปทั่วโลก ได้เห็นจุดกำเนิดของชาอัสสัมที่เกิดจากอังกฤษอยากหาพื้นที่ปลูกชาใหม่ ได้เห็นจุดกำเนิดของชาซีลอนที่เกิดจากการย้ายไปปลูกชาในศรีลังกา รวมถึงได้เห็นเทรนด์การดื่มชาที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10-20-30 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นว่าบางอย่างมาเร็วไปก็ไม่ดี มาช้าไปก็ไม่ได้ แต่ต้องเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวและไปได้ทั่วโลก
จนกระทั่งมองออกว่า ชาแบบไหนที่เป็นที่ต้องการในยุคนี้ ชาแบบไหนที่ตัวเธอเองจะเสิร์ฟให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้ จนกลายมาเป็น ‘เจี้ยนชา’ แบบที่ทุกคนเห็น
เริ่มต้นเปิดทีเดียวสองสาขา แค่สองเดือนก็ติดตลาดแล้ว
ความพิเศษของ ‘เจี้ยนชา’ คือใช้ใบชาต้มสด ไม่ใช่ชาผง และเป็นการต้มครั้งเดียวแล้วทิ้ง รวมถึงใส่ใจเรื่องอุณหภูมิและเวลาในการต้นชาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้วิตามิน สารอาหาร และรสชาติที่ดีที่สุด
ตอบรับกับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรงในยุคนี้และเชื่อว่าจะยิ่งใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมการดื่มชาแบบดั้งเดิมที่ดีต่อสุขภาพ โดยชาแต่ละชนิดก็มีประโยชน์แตกต่างกันออกไป
ด้านแบรนด์ดิ้ง ‘พอลลี่’ เลือกคำว่า “เจี้ยนชาฉาน” มาใช้ก่อน โดย ‘เจี้ยน’ หมายถึงมองเห็น ‘ฉาน’ หมายถึงภูเขา และ ‘ชา’ หมายถึง ‘ใบชา’ สื่อถึงแหล่งปลูกชาพรีเมี่ยมที่อยู่บนภูเขาสูง และเป็นที่มาที่ทำให้โลโก้ของเจี้ยนชามีลักษณะเป็นรูปภูเขานั่นเอง
แต่ด้วยคำว่า “เจี้ยนชาฉาน” ออกเสียงค่อนข้างยาก สุดท้ายจึงตัดออกเหลือแค่คำว่า “เจี้ยนชา” นั่นเอง
ขณะที่ดีไซน์ของร้านเลือกสี ‘ขาวเงิน’ เพื่อให้ดูเรียบหรูและโมเดิร์น ก่อนจะเพิ่ม ‘สีเบจ’ เข้ามาเพื่มเติมความรู้สึกถึงความลักซัวรีมากขึ้นให้กับลูกค้า โดยเน้นการออกแบบให้เข้ากับเทรนด์และยุคสมัย เพราะอยากให้วัฒนธรรมชาเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้
ฮีโร่โปรดักส์ของ ‘เจี้ยนชา’ คือ ชาองุ่นสปาร์คกลิ้ง อยู่ในกลุ่มชาใสที่มีกลิ่นหอม ทานง่าย และดีต่อสุขภาพ โดยเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนสามารถเรียกว่าเป็นเมนูจุดกระแสของเจี้ยนชาก็ว่าได้
ณ ตอนเริ่มต้น ‘พอลลี่’ ตัดสินใจเปิดเจี้ยนชาพร้อมกัน 2 สาขา ได้แก่ สาขาสยามพารากอน และ The Up พระราม 3 เพื่อทดลองโมเดลขายในห้างและนอกห้าง โดยวางโพสิชันเป็นแบรนด์พรีเมียมแมส ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างกว้างอย่างคนทั่วไป ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 80-120 บาท
หลังเปิดสองสาขาแรก ‘เจี้ยนชา’ ใช้เวลาแค่เกือบสองเดือนเท่านั้นก็เริ่มติดตลาด แม้จะไม่ได้ทุ่มงบการตลาดไปกินอินฟลูเอนเซอร์มากนัก แต่เน้นคุณภาพของสินค้า อาศัยการบอกต่อ และช่องทางเดลิเวอรี่เป็นหลัก
‘พอลลี่’ บอกว่าตอนที่รู้ว่าแบรนด์ไปต่อได้แน่นอนแล้วก็เพราะมีลูกค้าต่อคิวเยอะมาก เริ่มทำไม่ทันกับออเดอร์ที่เข้ามา และเห็นแนวโน้มว่าธุรกิจจะมีกำไรหากทำต่อ
ปีเดียวกวาดเกือบ 80 ล้าน ปีนี้คาดจบ 100 สาขาได้
ปัจจุบันผ่านมา 1 ปี 7 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ตอนนี้ ‘เจี้ยนชา’ มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 40 สาขา และมีสาขาที่เซ็นสัญญาจองพื้นที่เรียบร้อยแล้วและเตรียมเปิดให้บริการอีก 65 สาขา
คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขาของเจี้ยนชาทะลุ 100 สาขาได้สำเร็จ โดยมีสัดส่วนร้านที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท 20% และสัดส่วนร้านของแฟรนไชส์ซี 80%
โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 บริษัท เจี้ยนชา จำกัด ทำรายได้ไป 78 ล้านบาท พร้อมกำไร 1.85 ล้านบาท เรียกว่าปังตั้งแต่ปีแรกที่เข้าสู่ตลาดเลยทีเดียว
แต่ตลาด ‘ชาพรีเมียมแมส’ ในตอนนี้เรียกได้ว่าแข่งขันกันอย่างร้อนแรงสุดๆ มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติตบเท้าเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ ‘พอลลี่’ ไม่ได้มองในด้านลบ แต่กลับมองว่าการเข้ามาของคู่แข่งเป็น “การสร้างวัฒนธรรมการดื่มชายุคใหม่”
“ในอดีตคนดื่มชากันเป็นหลัก แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่วัฒนธรรมกาแฟเข้ามาแทนที่ เพราะสามารถหาดื่มได้ง่ายกว่าและทำให้ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชาเองก็มีข้อดีในฐานะตัวแทนของสุขภาพในระยะยาวจากสารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์อื่นๆ การเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ จะช่วยปลุกวัฒนธรรมการดื่มชากลับมา ทำให้หาดื่มง่ายเหมือนกับกาแฟในปัจจุบัน”
สร้างตำนานแบรนด์ไทย ตีตลาดโลกให้ได้
ในวัย 30 ปี นอกจากประเทศไทยแล้ว ‘พอลลี่’ ยังได้พาเจี้ยนชาออกไปเยือน ‘ออสเตรเลีย’ แล้ว 2 สาขา รวมถึงกำลังจะเปิดร้านใน สิงคโปร์ สเปน และสหรัฐอเมริกาเร็วๆ นี้
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่รอให้ร้านในไทยเติบโตจนเต็มที่ก่อน แล้วค่อยไปขยายสาขาเมืองนอก แต่พอลลี่บอกว่า เธอเชื่อว่าเธอสามารถเรียนรู้แนวทางการขยายสาขาในต่างประเทศไปพร้อมๆ กับการขยายสาขาในประเทศไทยได้
“ต่อให้เราทำทุกอย่างในประเทศไทยจนครบร้อย แล้วไปเริ่มต้นนับหนึ่งในต่างประเทศก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำแบบเดียวกันได้ การเริ่มต้นธุรกิจในต่างประเทศแทบจะต้องเปลี่ยนระบบข้างในทั้งหมด ต้องปรับตัวเยอะมาก การไปในเวลานี้ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้น ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี รวมถึงไอเดียต่างๆ และมาปรับใช้ในไทยควบคู่ด้วย”
พร้อมความตั้งใจจะให้ ‘เจี้ยนชา’ สร้างตำนานเป็นแบรนด์ Asian Premium Beverage ของคนไทยที่สามารถตีตลาดโลกได้ โดยอาศัย ‘ระบบ’ และ ‘ทีมงาน’ ที่แข็งแกร่ง รวมถึงเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองว่าสามารถทำได้
โดยเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า ‘พอลลี่’ ตั้งใจจะพาเจี้ยนชาไปให้ถึง 1,000 สาขาทั่วโลก แบ่งเป็นในประเทศไทย 200 สาขา สหรัฐอเมริกา 300 สาขา จีน 300 สาขา และประเทศอื่นๆ อีก 200 สาขา
“ถ้ามีคนประเทศอื่นเขาทำได้ ทำไมคนไทยถึงทำไม่ได้ เราก็คนเหมือนกัน” พอลลี่กล่าว

- ไม่ปล่อยให้แบรนด์จีนตีตลาดไทยอย่างเดียว? ‘ชาตรามือ’ สู้กลับ ส่งแบรนด์ใหม่ CTM ขายชาปลูกในไทย เริ่มต้นแก้วละ 70 บาท
- เจาะกลยุทธ์ SOURI โมเดล ‘มาการองประจำจังหวัด’ ล่าสุดมีรสชาติ ‘ไก่ทอดหาดใหญ่’ แล้ว
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา