ชาติอื่นทำได้ คนไทยก็ทำได้ ‘เจี้ยนชา’ บอกจะสร้างตำนานแบรนด์ไทย อีก 5 ปีมี 1,000 สาขาทั่วโลก

อยากไปเที่ยวรอบโลกแบบมีอะไรทำ คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ‘พอลลี่ เฮสันต์’ เลือกทำธุรกิจร้านชาที่เธอเชื่อว่าจะสามารถขยายไปทั่วโลกได้ และแค่ปีแรกปีเดียวธุรกิจชาของเธอก็กวาดรายได้ไปเกือบ 80 ล้านบาท พร้อมความฝันในฐานะแบรนด์ไทยที่จะสร้างตำนานระดับโลก

คิดตั้งแต่วันแรกว่า อยากพาธุรกิจไทยไปทั่วโลก

เรื่องที่เล่าข้างบนเป็นเรื่องจริง เพราะก่อนเริ่มธุรกิจ ‘เจี้ยนชา’ ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘พอลลี่ เฮสันต์’ เติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ ทำให้นอกจากจะชอบทำธุรกิจและอยากเป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอยังได้ฝึกฝนทักษะด้านการค้ามาตลอดผ่านหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ธุรกิจอาหารเสริม ธุรกิจขายรถมือสอง ธุรกิจสปาและธุรกิจเล็กๆ อีกหลายอย่าง

รวมถึงธุรกิจโรงงานเบเกอรี่ภายใต้แบรนด์ ‘วรรณวนัช’ ที่ช่วยสอนประสบการณ์การทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มให้กับเธอ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘พอลลี่’ ที่เริ่มอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำ และตัดสินใจจะใช้ความหลงใหลในการเดินทางไปต่างประเทศ มาสร้างธุรกิจของตัวเอง จึงเริ่มตั้งต้นธุรกิจจากการมองหา “ธุรกิจที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก” และนั่นทำให้เธอคิดถึง ‘ชา’ ที่เธอชอบดื่มขึ้นมา

ก่อนที่จะออกมาเป็น ‘เจี้ยนชา’ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้ ‘พอลลี่’ เริ่มต้นจากการค้นคว้าย้อนกลับไปว่า พันปีที่ผ่านมา โลกของการดื่มชาเกิดอะไรขึ้นบ้าง เทรนด์แห่งการดื่มชาเปลี่ยนแปลงไปยังไง 

ระหว่างการย้อนดูประวัติศาสตร์ พอลลี่ก็ได้เห็นว่าทำไม ‘ชานมไต้หวัน’ ถึงฮิตไปทั่วโลก ได้เห็นจุดกำเนิดของชาอัสสัมที่เกิดจากอังกฤษอยากหาพื้นที่ปลูกชาใหม่ ได้เห็นจุดกำเนิดของชาซีลอนที่เกิดจากการย้ายไปปลูกชาในศรีลังกา รวมถึงได้เห็นเทรนด์การดื่มชาที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10-20-30 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นว่าบางอย่างมาเร็วไปก็ไม่ดี มาช้าไปก็ไม่ได้ แต่ต้องเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวและไปได้ทั่วโลก 

จนกระทั่งมองออกว่า ชาแบบไหนที่เป็นที่ต้องการในยุคนี้ ชาแบบไหนที่ตัวเธอเองจะเสิร์ฟให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้ จนกลายมาเป็น ‘เจี้ยนชา’ แบบที่ทุกคนเห็น

เริ่มต้นเปิดทีเดียวสองสาขา แค่สองเดือนก็ติดตลาดแล้ว

ความพิเศษของ ‘เจี้ยนชา’ คือใช้ใบชาต้มสด ไม่ใช่ชาผง และเป็นการต้มครั้งเดียวแล้วทิ้ง รวมถึงใส่ใจเรื่องอุณหภูมิและเวลาในการต้นชาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้วิตามิน สารอาหาร และรสชาติที่ดีที่สุด 

ตอบรับกับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรงในยุคนี้และเชื่อว่าจะยิ่งใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมการดื่มชาแบบดั้งเดิมที่ดีต่อสุขภาพ โดยชาแต่ละชนิดก็มีประโยชน์แตกต่างกันออกไป

ด้านแบรนด์ดิ้ง ‘พอลลี่’ เลือกคำว่า “เจี้ยนชาฉาน” มาใช้ก่อน โดย ‘เจี้ยน’ หมายถึงมองเห็น ‘ฉาน’ หมายถึงภูเขา และ ‘ชา’ หมายถึง ‘ใบชา’ สื่อถึงแหล่งปลูกชาพรีเมี่ยมที่อยู่บนภูเขาสูง และเป็นที่มาที่ทำให้โลโก้ของเจี้ยนชามีลักษณะเป็นรูปภูเขานั่นเอง 

แต่ด้วยคำว่า “เจี้ยนชาฉาน” ออกเสียงค่อนข้างยาก สุดท้ายจึงตัดออกเหลือแค่คำว่า “เจี้ยนชา” นั่นเอง

ขณะที่ดีไซน์ของร้านเลือกสี ‘ขาวเงิน’ เพื่อให้ดูเรียบหรูและโมเดิร์น ก่อนจะเพิ่ม ‘สีเบจ’ เข้ามาเพื่มเติมความรู้สึกถึงความลักซัวรีมากขึ้นให้กับลูกค้า โดยเน้นการออกแบบให้เข้ากับเทรนด์และยุคสมัย เพราะอยากให้วัฒนธรรมชาเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้

ฮีโร่โปรดักส์ของ ‘เจี้ยนชา’ คือ ชาองุ่นสปาร์คกลิ้ง อยู่ในกลุ่มชาใสที่มีกลิ่นหอม ทานง่าย และดีต่อสุขภาพ โดยเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนสามารถเรียกว่าเป็นเมนูจุดกระแสของเจี้ยนชาก็ว่าได้

ณ ตอนเริ่มต้น ‘พอลลี่’ ตัดสินใจเปิดเจี้ยนชาพร้อมกัน 2 สาขา ได้แก่ สาขาสยามพารากอน และ The Up พระราม 3 เพื่อทดลองโมเดลขายในห้างและนอกห้าง โดยวางโพสิชันเป็นแบรนด์พรีเมียมแมส ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างกว้างอย่างคนทั่วไป ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 80-120 บาท

หลังเปิดสองสาขาแรก ‘เจี้ยนชา’ ใช้เวลาแค่เกือบสองเดือนเท่านั้นก็เริ่มติดตลาด แม้จะไม่ได้ทุ่มงบการตลาดไปกินอินฟลูเอนเซอร์มากนัก แต่เน้นคุณภาพของสินค้า อาศัยการบอกต่อ และช่องทางเดลิเวอรี่เป็นหลัก

‘พอลลี่’ บอกว่าตอนที่รู้ว่าแบรนด์ไปต่อได้แน่นอนแล้วก็เพราะมีลูกค้าต่อคิวเยอะมาก เริ่มทำไม่ทันกับออเดอร์ที่เข้ามา และเห็นแนวโน้มว่าธุรกิจจะมีกำไรหากทำต่อ 

ปีเดียวกวาดเกือบ 80 ล้าน ปีนี้คาดจบ 100 สาขาได้

ปัจจุบันผ่านมา 1 ปี 7 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ตอนนี้ ‘เจี้ยนชา’ มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 40 สาขา และมีสาขาที่เซ็นสัญญาจองพื้นที่เรียบร้อยแล้วและเตรียมเปิดให้บริการอีก 65 สาขา

คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขาของเจี้ยนชาทะลุ 100 สาขาได้สำเร็จ โดยมีสัดส่วนร้านที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท 20% และสัดส่วนร้านของแฟรนไชส์ซี 80%

โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 บริษัท เจี้ยนชา จำกัด ทำรายได้ไป 78 ล้านบาท พร้อมกำไร 1.85 ล้านบาท เรียกว่าปังตั้งแต่ปีแรกที่เข้าสู่ตลาดเลยทีเดียว

แต่ตลาด ‘ชาพรีเมียมแมส’ ในตอนนี้เรียกได้ว่าแข่งขันกันอย่างร้อนแรงสุดๆ มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติตบเท้าเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ ‘พอลลี่’ ไม่ได้มองในด้านลบ แต่กลับมองว่าการเข้ามาของคู่แข่งเป็น “การสร้างวัฒนธรรมการดื่มชายุคใหม่” 

“ในอดีตคนดื่มชากันเป็นหลัก แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่วัฒนธรรมกาแฟเข้ามาแทนที่ เพราะสามารถหาดื่มได้ง่ายกว่าและทำให้ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชาเองก็มีข้อดีในฐานะตัวแทนของสุขภาพในระยะยาวจากสารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์อื่นๆ การเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ จะช่วยปลุกวัฒนธรรมการดื่มชากลับมา ทำให้หาดื่มง่ายเหมือนกับกาแฟในปัจจุบัน”

สร้างตำนานแบรนด์ไทย ตีตลาดโลกให้ได้

ในวัย 30 ปี นอกจากประเทศไทยแล้ว ‘พอลลี่’ ยังได้พาเจี้ยนชาออกไปเยือน ‘ออสเตรเลีย’ แล้ว 2 สาขา รวมถึงกำลังจะเปิดร้านใน สิงคโปร์ สเปน และสหรัฐอเมริกาเร็วๆ นี้

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่รอให้ร้านในไทยเติบโตจนเต็มที่ก่อน แล้วค่อยไปขยายสาขาเมืองนอก แต่พอลลี่บอกว่า เธอเชื่อว่าเธอสามารถเรียนรู้แนวทางการขยายสาขาในต่างประเทศไปพร้อมๆ กับการขยายสาขาในประเทศไทยได้

“ต่อให้เราทำทุกอย่างในประเทศไทยจนครบร้อย แล้วไปเริ่มต้นนับหนึ่งในต่างประเทศก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำแบบเดียวกันได้ การเริ่มต้นธุรกิจในต่างประเทศแทบจะต้องเปลี่ยนระบบข้างในทั้งหมด ต้องปรับตัวเยอะมาก การไปในเวลานี้ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้น ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี รวมถึงไอเดียต่างๆ และมาปรับใช้ในไทยควบคู่ด้วย”

พร้อมความตั้งใจจะให้ ‘เจี้ยนชา’ สร้างตำนานเป็นแบรนด์ Asian Premium Beverage ของคนไทยที่สามารถตีตลาดโลกได้ โดยอาศัย ‘ระบบ’ และ ‘ทีมงาน’ ที่แข็งแกร่ง รวมถึงเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองว่าสามารถทำได้

โดยเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า ‘พอลลี่’ ตั้งใจจะพาเจี้ยนชาไปให้ถึง 1,000 สาขาทั่วโลก แบ่งเป็นในประเทศไทย 200 สาขา สหรัฐอเมริกา 300 สาขา จีน 300 สาขา และประเทศอื่นๆ อีก 200 สาขา

“ถ้ามีคนประเทศอื่นเขาทำได้ ทำไมคนไทยถึงทำไม่ได้ เราก็คนเหมือนกัน” พอลลี่กล่าว

เจี้ยนชา สาขาเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา