“รุ่น 1 สร้าง รุ่น 2 สาน รุ่น 3 ทำลาย” คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม?
เอาง่ายๆ มันคือคำพูดที่คนมักใช้เมื่อเห็น ‘ธุรกิจครอบครัว’ โดยรุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นคนสร้างกิจการ รุ่นลูกมาสานต่อ แต่รุ่นหลานกลับทำเจ๊ง
‘ท็อป-วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์’ ทายาทรุ่นที่ 3 ของ ‘เด็กสมบูรณ์’ เป็นหนึ่งในคนที่กลัวความคิดนี้ แต่เขาไม่ยอมแพ้ เพราะมองว่าเป็นความท้าทาย และประโยคนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้นกับเขา
“ตอนที่ผมเริ่มเข้ามา ทุกคนก็จะค่อนข้างดูถูกผมมากๆ ว่าผมเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่จะไปรู้อะไร จะทำอะไรได้บ้าง มีคำพูดหนึ่งที่ผมได้ยินแล้วคนก็พูดกับผมตลอดเวลาคือ รุ่นที่ 1 สร้าง รุ่นที่ 2 สานต่อ รุ่นที่ 3 เจ๊ง ซึ่งมันเป็นคำพูดที่กดดันผมมาตลอด เลยทำให้ผมพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ” เขากล่าวภายในงาน Digital SME Conference Thailand 2025
‘ท็อป’ มีแพลนจะทำอะไร? มาดูกัน
จากยอดขายหลักหมื่นสู่ 2 ล้านบาทต่อเดือน ด้วยฝีมือของทายาทที่ไม่ได้อยากทำ

จริงๆ แล้ว เดิมทีท็อปไม่ได้อยากกลับมาทำธุรกิจครอบครัวต่อ เนื่องจากสมัยที่เรียนอยู่อเมริกา เขาทะเลาะกับคุณพ่อ (สมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์) เรื่องตัวเลขเงินเดือนที่ต้องการ แต่พ่อก็ถามกลับมาว่า “ทำไมต้องให้วะ?”
หลังจากนั้น ท็อปจึงเสนอว่า จะลองไปสมัครงานที่อื่น แล้วถ้าเขาให้เงินเดือนเท่าไรก็ลองเอามาเทียบกัน เสมือนกับเป็นการเช็กค่าตัวตนเอง เพื่อพิสูจน์ให้พ่อเห็นถึงความเหมาะสม
ณ ตอนนั้น ท็อปก็เพิ่งจบปริญญาโทจากซานฟรานซิสโก เขาจึงไปสมัครงานที่บริษัท Salesforce ก่อนจะถูกยื่นข้อเสนอพร้อมอัตราเงินเดือนที่เอามาโชว์ให้คุณพ่อดู จนได้ร่วมงานกันถึงวันนี้
ท็อปเข้ามาดูแลในส่วนของการตลาด โดยเขาเล่าภายในงาน Thailand E-Commerce Expo 2025 ว่า ตอนแรกๆ ที่ดูช่องทางการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เขาทำบริษัทขาดทุนเยอะมาก เพราะปัญหาเรื่องการขนส่งและการห่อบรรจุภัณฑ์
“ขวดแก้ว wrap (ห่อ) ยังไงก็แตก ส่งกลับไป ลูกค้าคืน ส่งกลับไป ลูกค้าคืน สมมุติว่ายอดเดือนหนึ่ง 50,000 สุดท้ายแล้วคืนกลับมา 30,000 อย่างนี้ และสินค้าที่คืนกลับมาก็คือสินค้าที่แตกหมดแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ท็อปจึงเปลี่ยนจากขวดแก้วมาเป็นขวด PET แต่มันก็ยังแตกอยู่บ้าง จนต้องตั้งคำถามว่า จะทำสินค้าแบบไหนดี ที่มีน้ำหนักเบา และสามารถใช้งานได้เหมือนซีอิ๊ว?
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ ‘ซีอิ๊วเม็ดเด็กสมบูรณ์’ สินค้าที่เข้ามาพลิกยอดขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และท็อปเองก็บอกว่า มันขายดีมาก โดยเฉพาะบนอีคอมเมิร์ซของต่างประเทศ
ท็อปเล่าว่า ปกติแล้วซีอิ๊วขาวบ้านเราจะขายในราคาราวๆ 50 บาท แต่ถ้าซื้อในอังกฤษหรือสหรัฐฯ ราคาอาจดีดขึ้นเป็น 300-400 บาทเลย และต่อให้ส่งมาจากไทย ค่าขนส่งก็แพงอีก แถมนานด้วย
ดังนั้น ซีอิ๊วเม็ดจึงตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ดีมาก เพราะเข้าถึงง่าย และวิธีการใช้ก็แสนง่าย โดยยังคงรสชาติเดิมไว้
ด้วยเหตุนี้ จากยอดขายหลักหมื่นในวันนั้น ก็กลายมาเป็นยอดขายเฉลี่ยบนช่องทางออนไลน์ถึง 2 ล้านบาทต่อเดือน โดยมี ‘ซีอิ๊วเม็ด’ เป็นสินค้าขายดีที่สุด
ทำคอนเทนต์เพราะพนักงานบอกว่าเห็นเด็กสมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก

สำหรับใครที่เห็นหน้าท็อปแล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน บอกเลยว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง เพราะเขานี่ล่ะคือดาราประจำช่อง TikTok ของเด็กสมบูรณ์
ท็อปเล่าว่าวันแรกที่เข้ามาทำงานในแผนกการตลาด ทั้งทีมมีพนักงานอยู่แค่ 3-4 คนเท่านั้น ทำให้เขาต้องเริ่มจากการรับสมัครบุคลากรเข้ามาเพิ่มก่อน โดยคำถามสัมภาษณ์ที่ทุกคนต้องโดนคือ “ทำไมถึงอยากมาทำงานที่เด็กสมบูรณ์?”
เชื่อหรือไม่? คนส่วนใหญ่ตอบว่า เป็นเพราะเห็นคุณแม่ เห็นอาม่าใช้ตั้งแต่เด็ก จนทำให้ท็อปรู้สึกว่า นี่ล่ะคือเมสเสจที่บริษัทไม่ได้ส่งไปหาผู้บริโภคนานแล้ว มีแต่ลูกค้าน่ารักๆ ที่พูดถึงเราอยู่ฝ่ายเดียว
จากนั้นมา ท็อปจึงอยากหาช่องทางใหม่ที่เปิดโอกาสให้บริษัทสามารถสื่อสารกับลูกค้าด้วยตนเอง ประจวบกับเป็นช่วงที่ TikTok กำลังมาแรง เราจึงได้เห็นเด็กสมบูรณ์ดาว TikTok อย่างทุกวันนี้
ตอนเริ่มแรกๆ คนที่ออกหน้ากล่องส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานในทีมมากกว่า โดยมีท็อปกำกับเบื้องหลัง แต่สาเหตุที่เราได้เห็นหน้าเขาจนเหมือนเป็นไอคอนของเด็กสมบูรณ์อย่างทุกวันนี้ก็เพราะ
“ผมรู้สึกว่าพอผมปั้นทีมงาน ปั้นพนักงานไปจนมีผู้ติดตามระดับนึง ทีมก็ลาออก ผมต้อง Build ทีมใหม่ ผมเลยรู้สึกว่า สิ่งนี้มันไม่มั่นคงต่อองค์กรด้วย ต่อแรงที่เราทำ ต่อเงินที่เรา invest ไป ผมก็เลยว่า หาพนักงานสัก 1 คนสิ ที่จะไม่ลาออกจากองค์กรตลอดชีวิต ผมก็มองซ้ายมองขวา มองขวามองซ้าย แล้วก็หันกลับมามองกระจก แล้วเห็นว่า อ๋อ ตัวเราเองล่ะที่มันออกไม่ได้จากองค์กร”
ไปๆ มาๆ ท็อปยังดึงคุณพ่อมาทำคอนเทนต์ด้วย โดยโน้มน้าวว่า “เนี่ย ยอดขายเรามาในทางที่ดีเลย ถ้ามีป๊ามาออกด้วย ผมคิดว่าอย่างน้อยๆ engagement เพิ่มขึ้น แล้วยอดขายมันขึ้น 20% แน่จากคลิปนี้”
อยากให้รู้ว่าซีอิ๊วทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

นอกจากคอนเทนต์วิดีโอที่มีท็อปเป็นดาราประจำช่องแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่เราหาได้จาก TikTok ของเด็กสมบูรณ์คือ ‘เมนูประหลาดๆ’
ไม่ว่าจะลูกอมซีอิ๊ว ไอศกรีมซีอิ๊วดำ ไอศกรีมบ๊วย กาแฟซีอิ๊ว หรือซีอิ๊วดำโซดา ท็อปทำมาหมดแล้ว โดยอธิบายว่า ทุกสิ่งที่เขาทำมีจุดประสงค์เดียวเลยคือ อยากให้ทุกคนรู้ว่าซีอิ๊ว 1 ขวดทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และสามารถเอามารังสรรค์เป็นเมนูสุดครีเอทีฟอีกมากมาย
การรังสรรค์เมนูสุดพิเศษไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเด็กสมบูรณ์อย่างเดียว เพราะท็อปยังพาสินค้าของตนเองไปคอลแลบกับแบรนด์อื่นๆ มากมาย อาทิ
- แม็คโครโลตัส กับเมนูเบเกอรีซอสซีอิ๊วดำ และขนมปังน้ำจิ้มข้าวมันไก่
- FAT AND FURIOUS แบรนด์แฟชันของ ‘กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่’ กับเสื้อยืดคอลเล็กชันพิเศษลายเด็กสมบูรณ์
อยากเห็นเด็กสมบูรณ์ออกมาเป็นคนจริงๆ

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยระดับความลับจักรวาลอยู่ว่า เด็กในโลโก้ตราเด็กสมบูรณ์คือใคร? ใช่ท็อปหรือเปล่า?
สำหรับคำถามนี้ คุณพ่อของท็อปเป็นคนตอบเองว่า เด็กบนโลโก้ตราเด็กสมบูรณ์ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงภาพวาดที่คุณปู่ของท็อปไปจ้างจิตรกรชาวจีนมาออกแบบ เพื่อสร้างแบรนด์ดิ้งให้กิจการเท่านั้น
แม้จะไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่การเข้ามาของท็อปทำให้เราเห็นภาพเด็กคนนี้ชัดขึ้น เพราะตัวเขาเองก็อยากเห็นเด็กสมบูรณ์ออกมาเป็นคนจริงๆ บ้าง จนเกิดเป็นโปรเจกต์ที่นำ ‘น้องพีร์-น้องธีร์’ มาเป็นพรีเซนเตอร์เมื่อปี 2024
เท่านั้นยังไม่พอ ท็อปคิดต่อไปอีกว่า ถ้าเด็กสมบูรณ์โตขึ้นมาเป็น ‘วัยรุ่นสมบูรณ์’ จะเป็นยังไง? ทำให้เขาเลือก‘พีพี-กฤษฏ์’ มาเป็นพรีเซนเตอร์ในปีนี้
“เด็กสมบูรณ์มีแฟนเบสตั้งแต่อาม่า ยันหลายๆ เจนเนอเรชัน ผมเลยคิดว่า ถ้าเราทำอะไรขึ้นมาที่มันเป็นชีวิตจริงขึ้นมาอย่างนี้ได้ เป็นรูปแบบของคนจริงๆ น่าจะตอบโจทย์ได้มากขึ้นด้วย”
จากกรณีของเด็กสมบูรณ์ ท็อปพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นคนทำธุรกิจพังเสมอไป ตราบใดที่เรายังพยายามหาอะไรใหม่ๆ มาตอบโจทย์ลูกค้าเสมอ
แล้วคุณล่ะ เชื่อในอาถรรพ์ของทายาทรุ่น 3 หรือเปล่า?
ที่มา: TikTok
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา