“เราอยากให้กรุงเทพมีของแบบนี้” เปิดใจ ‘ราซิน่าร์ อูเบรอย’ กับเบื้องหลัง Bangkok’s International Festival of Dance & Music ที่ยืนยาว 27 ปี

ในช่วงกันยายน-ตุลาคมของทุกปี กรุงเทพมหานครจะคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ ‘ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย’ กลายเป็นเวทีต้อนรับการแสดงนานาชาติ ที่เดินทางข้ามโลกมาประเทศไทย เพื่อแสดงเพียงไม่กี่รอบต่อปี

ภาพนี้เกิดขึ้นซ้ำมานานกว่า 27 ปี ในงาน ‘Bangkok’s International Festival of Dance & Music’ หรือ ‘มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ’ เทศกาลที่ไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังสร้างตัวตนใหม่ให้กรุงเทพในฐานะ ‘เมืองวัฒนธรรม’

Brand Inside ได้คุยกับ ’ราซิน่าร์ อูเบรอย’ (Rasina Uberoi) MD Bangkok Festivals ถึงเบื้องหลังและความเป็นมา ของเทศกาลงานการแสดงระดับโลก ที่เธอต้องการสร้างกรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่คนทั่วโลกพูดถึง

จุดเริ่มต้นจาก ‘คุณพ่อ’ ที่อยาก ‘ตอบแทน’ ประเทศไทย

เทศกาลนี้ก่อตั้งโดย ‘เจเอส อูเบรอย’ (J.S. Uberoi) คุณพ่อของ ‘ราซิน่าร์’ ที่อยากมอบสิ่งพิเศษกลับคืนให้คนไทย หลังเกษียณจากธุรกิจนิตยสาร เขาลองนำ ‘บัลเล่ต์’ มาแสดงเพียงโชว์เดียวในปีแรก 

โดยจัดขึ้นทั้งหมด 6 รอบ และบัตรขายหมดทุกที่นั่ง ทำให้ ‘เจเอส’ ตัดสินใจประกาศเพิ่มรอบพิเศษแบบฉุกละหุกในคืนสุดท้าย จัดวันรุ่งขึ้นทันที ถึงแม้จะประกาศช้า แต่บัตรก็ยังขายได้เกือบ 70%

‘ราซิน่าร์’ เล่าว่าเหตุการณ์นั้นทำให้เธอมั่นใจว่า คนไทยพร้อมเปิดรับการแสดงแบบนี้ แม้ไม่คุ้นเคยก็ตาม

ต่อมาหลังคุณพ่อเกษียณ ‘ราซิน่าร์’ ตัดสินใจสานต่อเจตนารมณ์ ด้วยการคัดสรรโชว์ระดับท็อปจากนานาชาติมาสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำตามเป้าหมายของคุณพ่อที่ต้องการมอบ ‘ของขวัญ’ กลับคืนให้ประเทศไทย ผ่านงานศิลปะที่ทรงคุณค่า

อยากให้ใครมาแสดง ต้องดีลล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี

เบื้องหลังการคัดเลือกโชว์ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องคิดล่วงหน้า 2-3 ปีเสมอ และบางครั้งใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะได้ศิลปินที่อยากเชิญมา

เช่น การเจรจากับ ‘ปลาซิโด โดมิงโก’ (Plácido Domingo) ศิลปินโอเปราระดับตำนานที่ใช้เวลาถึง 15 ปีเต็ม หรือคณะบอลชอย (Bolshoi) คณะบัลเลต์และโอเปร่าที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากรัสเซีย ที่ใช้เวลารอถึง 20 ปี และต้องถึงขั้นเข้าพบประธานาธิบดี ‘วลาดีมีร์ ปูติน’ เพื่อทำให้เกิดขึ้นจริง

การแสดงคอนเสิร์ตของ Plácido Domingo (ขอบคุณรูปจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

“หน้าที่สำคัญที่สุดของเราคือทำให้คนไทยได้ดูสิ่งที่แปลกใหม่ ไม่ใช่เพียงนำสิ่งที่เคยฮิตมาเล่นซ้ำ เราอยากเป็นคนตั้งเทรนด์”

ปีนี้ ‘ราซิน่าร์’ เลือกให้การแสดง ‘มหาภารตะ’ จากอินเดียเป็นโชว์เปิดในวันแรก ตามด้วย การแสดงกายกรรม โดยคณะ ‘ไชน่า เนชั่นเนล อะโครบาติก ทรูพ’ (China National Acrobatic Troupe) จากจีน เพื่อดึงคนดูตั้งแต่ต้น เพราะเป็นโชว์ที่ดูง่าย สนุก และเหมาะกับทุกเพศทุกวัย รวมทั้งยังเน้นการแสดงจากฝั่งเอเชียมากขึ้น

การแสดงเรื่อง มหาภารตะ Mahabharata “18 Days, Dusk of an Era” โดยคณะ Prabhat Arts International จากประเทศอินเดีย

นอกจากนี้ยังมีโปรดักชันพิเศษของ ‘The Nutcracker’ โดยคณะ ‘ซามารา โอเปร่า แอนด์ บัลเลต์ เธียเตอร์’ (Samara Academic Opera and Ballet Theatre) ด้วย โดยเทศกาลปีนี้ประกอบด้วย 18 โชว์ 14 โปรดักชัน จากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

พื้นที่ที่ให้รู้จักโลกกว้างผ่าน ‘ศิลปะ’

‘ราซิน่าร์’ เล่าให้ฟังว่ามหกรรมของเธอ เติบโตไปพร้อมๆ กับกรุงเทพมหานคร จากยุคแรกที่มีคนดูเพียงปีละ 3,000 คน วันนี้ตัวเลขพุ่งเป็นกว่า 40,000 คนแล้ว

และไม่ใช่แค่จำนวนที่เพิ่ม แต่ฐานผู้ชมก็หลากหลายกว่าเดิม จากเดิมที่เป็น expat หรือคนไทยวัยกลางคน 50-60 ปี ตอนนี้มี ‘คนไทย’ เป็นกลุ่มคนดูหลัก ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น คนทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุวัย 70-80 ปี

แม้แต่ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังบอกกับ ‘ราซิน่าร์’ ว่ามหกรรมของเธอ คือ ‘Festival for All’ เพราะมันคือพื้นที่ที่ทุกคนมาได้จริงๆ ทั้งครอบครัว หรือแม้แต่คู่รักที่ทำให้มันเป็นเดทไนท์สุดพิเศษ

นอกจากนี้ ‘ราซิน่าร์’ ยังริเริ่มโครงการเยาวชนตั้งแต่ปี 2565 เปิดให้เด็กและเยาวชน รวมถึงผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสเข้ามาดูการแสดงและเวิร์กชอปฟรี เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้ รู้จักโลกกว้างผ่านศิลปะ และฝึกสมาธิระหว่างการรับชม ซึ่งเธอมองว่า นี่คือทักษะที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

ในปีที่แล้ว มีเด็กจากกรมพินิจ 300 คนถูกเชิญมาดูการแสดง หลายคนสนใจเบื้องหลังจนได้ฝึกงานหลังเวที ‘ราซิน่าร์’ เชื่อว่าประสบการณ์แบบนี้ช่วยให้เด็กเห็นโลกที่กว้างขึ้น และอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเลือกเส้นทางใหม่ในชีวิต

เบื้องหลังที่ทำให้เวทีเกิดขึ้นจริง

สิ่งที่ผู้ชมเห็นบนเวที คือความสมบูรณ์แบบเกือบไร้ที่ติ แต่กว่าจะมาถึงจุดที่ม่านเปิดขึ้นได้ ทีมงานต้องผ่านภารกิจการเดินทางมหาศาล

‘ราซิน่าร์’ เล่าว่าการพาคณะหนึ่งมาแสดง คือการเคลื่อนย้ายคนกว่า 250 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ทีมงานเบื้องหลัง ช่างเทคนิค ไปจนถึงผู้กำกับ ต้องจัดการทุกอย่างตั้งแต่เอกสารวีซ่า การทำพาสปอร์ตให้เสร็จทันเวลา

บางครั้งยังเจอปัญหาแบบไม่คาดคิด เช่น พาสปอร์ตหายระหว่างบินมาไทย ต้องวิ่งประสานสถานทูตแข่งกับเวลา เพื่อให้คณะสามารถขึ้นเวทีได้ตามกำหนด

เมื่อทุกคนเดินทางถึงไทยแล้ว งานหนักยังไม่จบ เพราะอุปกรณ์และฉากส่วนใหญ่ขนทางเรือ ใช้เวลาเดินทางกว่า 30 วัน และเมื่อถึงที่หมายก็ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการติดตั้ง ทุกอย่างต้องเป๊ะเพราะเวลาไม่เคยรอ

“บางวันเรามีเวลาแค่ 24 ชั่วโมงสำหรับรื้อฉากของโชว์เก่าแล้วตั้งฉากใหม่ทั้งหมด ทีมงานต้องทำงานข้ามคืนแบบนอนไม่หลับเพื่อให้พร้อมทันรอบต่อไป” 

ข้อจำกัดเรื่องเวทียังเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ หลายคณะบอกว่า ฉากของพวกเขาใหญ่เกินลงไม่ได้ ทีมงานจึงต้องช่วยคิดวิธีปรับให้เข้ากับพื้นที่ไทยมากที่สุด เพื่อให้คนดูยังได้เห็นการแสดงใกล้เคียงต้นฉบับที่สุด

‘ราซิน่าร์’ บอกว่าต่อให้ศูนย์วัฒนธรรมฯ เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่ไทยมีแล้ว ก็ยังมีบางคณะที่คิดว่าเล็กไปสำหรับการแสดงของพวกเขา

ยุคนี้ ใครๆ ก็ต้องใช้ AI

เพื่อให้การแสดงทันสมัยและดึงดูดคนดูรุ่นใหม่ เทศกาลยังนำเทคโนโลยีใหม่มาผสมผสาน

ปีนี้มีการแสดงอย่าง ‘Pixel’ ซึ่งสนับสนุนโดย สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ที่ใช้ AI mapping ผสานภาพ แสง และการเต้นแบบโรลเลอร์เบลด และฮิปฮอป สร้างประสบการณ์แบบที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อน

นอกจากนี้ยังใช้ LED screen เพื่อแทนการขนพร็อพขนาดใหญ่ ทำให้การเตรียมงานรวดเร็วและยืดหยุ่นขึ้น

“วันนี้ AI เข้ามาอยู่ใน live performance แล้วจริงๆ และทำให้เวทีดูสนุกและล้ำสมัยมากขึ้น”

การตลาดก็เป็นอีกส่วนที่ทีมงานลงทุนอย่างจริงจัง ‘ราซิน่าร์’ บอกว่าพวกเขาใช้สื่อหลากหลาย ตั้งแต่บนรถไฟฟ้า บิลบอร์ดทั่วกรุงเทพฯ ไปจนถึงแคมเปญออนไลน์ที่เปลี่ยนคอนเทนต์วันละหลายรอบ

อยากเห็นกรุงเทพ เป็น ‘เสาหลัก’ ของศิลปะในไทย

แม้ ‘สิงคโปร์’ เคยเสนองบประมาณ เพื่อให้ไปจัดงานที่นั่น แต่ ‘ราซิน่าร์’ ปฏิเสธไป  เพราะอยากโฟกัสกรุงเทพเป็นหลัก

“นี่คือบ้านของเรา และเราต้องการสร้างให้กรุงเทพเป็นจุดหมายด้านศิลปะที่คนทั่วโลกนึกถึง”

วิสัยทัศน์ของ ‘ราซิน่าร์’ ไม่ได้หยุดแค่การดึงคณะต่างประเทศมา แต่ยังอยากเห็นศิลปินไทยได้มีโอกาสไปแสดงบนเวทีโลก

“ความฝันของเราคือ วันหนึ่งเด็กไทยจากโครงการเยาวชนของเรา ได้รับเชิญไปแสดงในต่างประเทศ นั่นคือวันที่เราจะรู้สึกว่างานของเราสมบูรณ์จริงๆ”

สำหรับ ‘ราซิน่าร์’ เทศกาลนี้คือการสร้างประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนให้กับคนดู บัตรหนึ่งใบราคา 4,000 บาท แต่สิ่งที่คนดูได้กลับไปมีค่ามากกว่าเงิน เพราะมันคือความทรงจำที่ติดตัวไปตลอดชีวิต 

และด้วยแพสชั่นที่เธอมี เธอตั้งใจจะขับเคลื่อนให้ ‘Bangkok’s International Festival of Dance & Music’ เป็นเสาหลักของศิลปะในเมืองไทย และเป็นเหตุผลที่ทำให้กรุงเทพยืนเคียงข้างเมืองศิลปะระดับโลกในอนาคต

ที่มา: สัมภาษณ์พิเศษ ‘ราซิน่าร์ อูเบรอย’

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา