- ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและรับมือกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ด้วยอาศัยโอกาสจากข้อตกลงด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางการค้าเสรี และนโยบายที่มุ่งเน้นผู้บริโภค พร้อมลดความเสี่ยงจากการนำเข้าด้วยการควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
- กระแส “Glocalization” กำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ ทำให้ธุรกิจไทยต้องเพิ่มผลิตภาพและการจัดการความเสี่ยงที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
- พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ที่รวดเร็ว ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล และรองรับการทำงานร่วมกับ AI มากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์และความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์และพวกเขามากขึ้น
- เทคโนโลยี เช่น AI และคลาวด์ กำลังพลิกโฉมโมเดลธุรกิจ แต่ความสำเร็จทางธุรกิจขึ้นอยู่กับความพร้อมของบุคลากร ธรรมาภิบาล และการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกัน
- กลยุทธ์การพลิกฟื้นธุรกิจที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยภาวะผู้นำที่เด็ดขาดที่ดำเนินการได้ทันท่วงที และมีมุมมองระยะยาวต่อศักยภาพของบุคลากรและความคล่องตัวขององค์กร
- การควบรวมและซื้อกิจการยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในประเทศไทย โดยภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ เทคโนโลยี ดิจิทัล และอาหารและเครื่องดื่ม ขณะเดียวกัน โครงสร้างดีลที่เปลี่ยนแปลงและการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะที่เข้มงวดมากขึ้นก็สะท้อนถึงภูมิทัศน์การลงทุนที่มีความระมัดระวังและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้น
- ผู้นำธุรกิจยังให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าจากภายในองค์กร โดยมุ่งปรับปรุงกระแสเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ และมุ่งขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ไปยังช่องทางอื่นๆ ที่เกื้อหนุนกัน
เคพีเอ็มจี ประเทศไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี KPMG Business Leaders’ Summit ภายใต้หัวข้อ “Navigating Uncertainty: Turning Challenges into Opportunities” โดยมีผู้บริหารระดับสูงกว่า 370 คนเข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือกับความท้าทายและขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวว่า “ธุรกิจไทยมีความตื่นตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ งานสัมมนานี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้นำต้องบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปรับตัวและสร้างคุณค่าให้องค์กรท่ามกลางความไม่แน่นอน”
ประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน: ภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และความยืดหยุ่นที่จำเป็น
ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์โลก แม้ความตึงเครียดทางการค้าจะส่งผลกระทบต่อ GDP เพียงเล็กน้อย (-0.3%) แต่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดไม่ใช่การตั้งกำแพงภาษี แต่คือการรักษาอัตราภาษีให้ต่ำเพื่อลดต้นทุนโดยรวม และมุ่งเน้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ใหม่ๆ พร้อมยกระดับมาตรฐานสินค้าและนวัตกรรมเพื่อการเติบโตในระยะยาว
Glocalization: การรับมือกับห่วงโซ่อุปทานโลก ความไม่แน่นอน และการปกป้องธุรกิจ
ท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ (Poly-crisis) และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก ธุรกิจต้องใช้แนวคิด “Glocalization” (การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น) เพื่อความอยู่รอด โดยต้องเสริมความแข็งแกร่ง 3 ด้าน คือ ผลิตภาพ (ใช้ AI และ Smart Manufacturing), การบริหารความเสี่ยง (กระจายตลาดและซัพพลายเชน) และ ความยั่งยืน (มุ่งสู่ ESG และ BCG Model) โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนจากการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่การเป็นผู้ออกแบบและเจ้าของแบรนด์ (ODM/OBM)
เอาชนะใจผู้บริโภคไทย: การเติบโตของแบรนด์ในตลาดที่เปลี่ยนแปลง
ผู้บริโภคยุคใหม่มีความอดทนน้อยลงและคาดหวังสูงขึ้น แบรนด์ต้องสื่อสารอย่างจริงใจ รวดเร็ว และสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การค้นหาข้อมูลเปลี่ยนไปพึ่งพา AI มากขึ้น และการเติบโตของแบรนด์มักมาจาก ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ก่อนขยายสู่วงกว้าง แบรนด์ที่ยั่งยืนคือแบรนด์ที่สร้างคุณค่าร่วมและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า
ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีคืออะไร: โอกาสการเติบโตสำหรับธุรกิจไทย
เทคโนโลยีสำคัญที่จะพลิกโฉมธุรกิจคือ คลาวด์, แพลตฟอร์มข้อมูล และ AI ซึ่งจะเข้ามาทำงานเฉพาะด้านมากขึ้น ทำให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การนำ AI มาใช้ให้สำเร็จต้องอาศัย 3 ปัจจัย คือ ภาวะผู้นำ, กลยุทธ์ที่ชัดเจน และการเรียนรู้ของพนักงาน โดยต้องสร้างความเชื่อมั่นใน AI ผ่านการวางระบบธรรมาภิบาลและมาตรการความปลอดภัยที่รัดกุม
การพลิกฟื้นในช่วงเวลาแห่งความผันผวน
ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้นำต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวขององค์กร ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และตัดสินใจอย่างทันท่วงที เพราะการตัดสินใจที่ล่าช้าอาจสร้างต้นทุนที่สูงกว่า
เส้นโค้งของการเติบโตถัดไป: การหาโอกาสในภูมิทัศน์การลงทุนปัจจุบัน
การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโต โดยผลสำรวจชี้ว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีแผนทำดีลใน 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล และ อาหาร-เครื่องดื่ม ปัจจุบันดีลมีแนวโน้มเป็นการร่วมทุนมากขึ้น ใช้เวลาปิดดีลนานขึ้น และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due diligence) อย่างเข้มข้น โดยนำ AI เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา