หลังโดนเทียบมาหลายปี เศรษฐกิจ ‘เวียดนาม’ ตอนนี้ กำลังจะใหญ่เท่าไทย

‘เวียดนาม’ เป็นคู่เทียบของประเทศไทยมาหลายปี แล้วรู้มั้ยว่าตอนนี้เศรษฐกิจของทั้งคู่กำลังจะใหญ่เท่ากันแล้ว

เวียดนาม

Four Asian Tigers ‘เสือเศรษฐกิจเอเชีย’ คือคำที่ใช้เรียกกลุ่มประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1960-1990 ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ จนกลายเป็นต้นแบบของประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ทั่วภูมิภาค

ต่อมาปลายยุค 1980 ถึง Millennium เริ่มเกิดการพูดถึง ‘เสือเศรษฐกิจใหม่’ และมาพร้อมกับคำว่า NICs (Newly Industrialized Countries) ประเทศที่เศรษฐกิจกำลังโตร้อนแรง เข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเต็มตัว

ตอนนั้นประเทศไทยเคยเป็นดาวรุ่งที่ถูกจับตามองมากทีเดียว แต่แล้วจนวันนี้เราก็ยังไม่สามารถก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้เลย

ส่วน ‘เวียดนาม’ ซึ่งขึ้นมาเป็นคู่เทียบกับไทยตลอด 5 ปีนี้ ประกาศความฝันอันท้าทายที่จะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2045 หรืออีกแค่ 20 ปีเท่านั้น

จริงอยู่ว่าวันนี้เวียดนามอาจจะตามหลังไทยหลายมิติ แต่หากลองเทียบกันหมัดต่อหมัด และมองไปถึงแผนพัฒนาประเทศในอนาคต เอาจริง ๆ แล้ว ใครมีดีกว่ากัน

เศรษฐกิจไทย v.s. เวียดนาม

ปี 2024 มูลค่า GDP ไทยอยู่ที่ 5.26 แสนล้านดอลลาร์ เวียดนามอยู่ที่ 4.76 แสนล้านดอลลาร์ ถือว่าเริ่มใกล้เคียงกันแล้ว ส่วนรายได้ต่อหัว (GDP per Capita) คนไทยอยู่ที่ 6,573.44 ดอลลาร์ เวียดนามอยู่ที่ 4,017.75 ดอลลาร์

แม้ไทยยังเหนือกว่าทั้งในแง่ความใหญ่ของเศรษฐกิจ และรายได้เฉลี่ยตัวหัวที่ยังห่างจากเวียดนามเป็นช่วงตัว แต่ถ้าดูในระยะ 20 ปี จะเห็นว่าเวียดนามขยับเข้าใกล้ไทยเรื่อย ๆ

  • ปี 2004 – GDP ไทย 1.73 แสนล้านเหรียญ, เวียดนาม 0.45 แสนล้านเหรียญ

  • ปี 2014 – GDP ไทย 4.07 แสนล้านเหรียญ, เวียดนาม 2.33 แสนล้านเหรียญ

  • ปี 2024 – GDP ไทย 5.26 แสนล้านเหรียญ, เวียดนาม 4.76 แสนล้านเหรียญ

และถ้ามองไปสู่อนาคต มูลค่า GDP เวียดนามมีโอกาสเร่งเครื่องแซงหน้าไทยในปี 2040 ด้วยอัตราการเติบโตก้าวกระโดดระดับ 5-6% ตลอด 30 ปี ขณะที่ไทยสร้างการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 2.5-3% เท่านั้น 

โครงสร้างประชากร

ประเด็นถัดมาคือแง่ของโครงสร้างประชากร ซึ่งแปรผันกับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งช่วยเป็นแรงหนุนจากฐานประชากรในอนาคต หรือเป็นได้ทั้งแรงฉุดให้หยุดการเติบโตได้เลย

ประเทศไทยนั้นมีโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป จากจำนวนประชากรที่เริ่มลดลง และการเปลี่ยนผ่านสู่ Super Aged Society สังคมที่มีผู้สูงอายุเกิน 65 ปี มากกว่า 20% ภายในปี 2029 นี้แล้ว 

ปัจจุบันไทยมีประชากรทั้งหมด 71.9 ล้านคน เป็นประชากรกำลังแรงงานประมาณ 61% แต่จุดที่น่ากังวลก็คือวัยแรงงานที่คาดว่าจะลดสัดส่วนเหลือแค่ 56% ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ตรงข้ามกับเวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน เป็นวัยแรงงาน 63% แถมโครงสร้างประชากรกำลังอยู่ในยุคทอง กว่า 2 ใน 3 (ราว 65 ล้านคน) กำลังเป็นวัยทำงาน และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกทศวรรษ ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น

ตลาดทุน

ขยับจากด้านภาพรวมเศรษฐกิจ เจาะลึกมาดูตลาดทุนภายในประเทศกันบ้าง จะเห็นว่า Market Cap. รวมของตลาดหุ้นไทยทั้ง SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 15 ล้านล้านบาท และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยมีหุ้นที่เป็นผู้นำ เช่น PTT, ADVANC, DELTA, GULF และ AOT เป็นต้น

ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม Market Cap. ที่ราว 8 ล้านล้านาท ยังตามหลังไทยอยู่ครึ่งนึง ปัจจุบันถูกจัดในกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier Market) มีหุ้นที่เป็นที่รู้จัก อาทิ Vingroup, Vinhomes, FPT, Mobile World และ Vinamilk เป็นต้น

Vinfast

ถ้าจะวัดกันหมัดต่อหมัดตอนนี้ ชัดเจนว่าตลาดหุ้นไทยยังคงนำหน้าอยู่หลายก้าว (ไม่นับเรื่องผลตอบแทน) และเวียดนามยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข ยังไม่ได้เปิดเสรีเต็มที่ เช่น การจำกัดสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ (Foreign Ownership Limit) ในบางบริษัท รวมถึงการปรับปรุงกฏเกณฑ์ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

ซึ่งรัฐบาลเวียดนามก็เดินหน้าปฏิรูปตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับตลาดหุ้นเป็น Emerging Market หากวันนั้นมาถึง แน่นอนว่าคงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทยนี่แหละ

เงินลงทุนจากต่างชาติ

ตัวเลข FDI หรือการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในปี 2023 ของภูมิอาเซียนโดยรวมอยู่ที่ 208,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 230,786 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ที่ระดับ จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 

แต่เงินที่ไหลเข้าในภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามกลับเพิ่มขึ้น เพราะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ทำให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของโลก

ตัวเลข FDI หรือการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ ตั้งแต่ปี 2018-2023 ไหลเข้าเวียดนามเป็นจำนวน 94,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ในช่วงปี 2012-2017

ขณะที่ไทยมี FDI จำนวน 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2018-2023) ลดลงจาก 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2012-2017) ส่วนหนึ่งมาจากการปิดกิจการของบริษัทต่างชาติ ตลอดจนการขาดอุตสาหกรรมที่เป็น New S-Curve

แผนพัฒนาประเทศ

สุดท้ายอยากพามาดูกันที่แผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศระหว่างไทยกับเวียดนาม

เวียดนาม ปักหมุดหมายอยากเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045 ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีพอดีของการก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

โดยวางงบ 10% ของ GDP หรือคิดเป็นประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน สนามบิน ศูนย์วิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง และ Smart City ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กระตุ้นการเติบโตในประเทศ ลดพึ่งพาการส่งออก

โครงการดานัง Silicon Bay เป็นหนึ่งไฮไลท์ในความทะเยอะทะยานของเวียดนาม ด้วยการยกระดับเป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ ควบคู่กับการเป็นเมืองอุตสาหกรรมด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์แบบเต็มตัว 

ยังรวมถึงการสร้างบุคลากรด้านนี้โดยเฉพาะ ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีนักศึกษาในสาขาเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มเป็น 1,000 คน พร้อมกับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 5 ปี สำหรับพนักงานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI 

ประเทศไทย ตั้งเป้าในแผนยุทธศาสตร์ชาติว่าอยากเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2037 ซึ่งเร็วกว่าเวียดนามราว 8 ปี

โดยจะเห็นว่าเราพยายามเปลี่ยนจากประเทศอุตสาหกรรม เบนเข็มเข้าสู่การเป็น Food Security, Wellness และ Soft Power ซึ่งก็ดูจะเป็นอีกหนึ่ง Blue Ocean ที่ไทยอยากจะขยับไปให้ถึง เพราะว่าเป็นภาคบริการที่สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเหมาะกับโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาชน ‘วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร’ มองเรื่องนี้ว่า “แม้เวียดนามยังตามหลังไทยหลายด้าน แถมมีจุดอ่อนที่ต้องแก้อีกมาก แต่สิ่งสำคัญคือเวียดนามกล้ายอมรับความจริง กล้าตัดสินใจเรื่องยากๆ อย่างการปฏิรูประบบราชการ และเร่งพัฒนาคนให้พร้อม ซึ่งคือหัวใจของความสำเร็จอย่างที่เกาหลีใต้ ไต้หวัน หรือสิงคโปร์ เคยทำให้เห็นมาแล้ว” 

พร้อมเสนอทางแก้ว่า ถ้าไทยกลัวเวียดนามแซงจริงๆ เราต้องจริงจังกับการพัฒนาคนกันมากกว่านี้ เปลี่ยนจากการพูดคุยระดับวิสัยทัศน์ มาให้ถึงรายละเอียดระดับโครงการ ประสานระหว่างรัฐกับเอกชน ออกแบบจัดสรรงบประมาณให้เหมาะ และต้องกล้าเปลี่ยนวิธีกำหนด KPI ของระบบราชการ

กลับมาตอบคำถามที่ว่า เวียดนาม vs. ไทย ประเทศไหนกำลังวิ่งตามหลังใคร คำตอบคงอยู่ที่ว่าเราเอาแง่มุมไหนไปจับ เพราะแต่ประเทศก็มีที่ทางของตัวเองในการพัฒนาไปข้างหน้า แม้ว่าความเร็วและความมุ่งมั่นอาจจะต่างกันก็ตาม

อ้างอิง: PWC, KResearch (1), KResearch (2), Tradingeconomics (1), Tradingeconomics (2), APnews, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, data.aseanstats.org

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา