ถ้าใครใช้ ‘LINE’ ทุกวัน อาจสังเกตได้ว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แอปแชทยอดนิยมมีการ ‘รีเฟรช’ หลายอย่าง ตั้งแต่ฟีเจอร์เล็กๆ ที่ทำให้การแชทง่ายขึ้น ไปจนถึงการเปิดบริการใหม่ และการยกเลิกบางบริการที่คุ้นเคย เพื่อปรับทิศทางของแพลตฟอร์มให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เริ่มจากบริการที่ถูกยกเลิก เช่น ‘LINE Keep’ ที่ให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดข้อมูลเดิม แล้วย้ายไปเก็บใน ‘Keep Memo’ แทน และ ‘LINE Notify’ ที่แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ ‘Messaging API’ ซึ่งมีค่าบริการ
แม้จะปิดไปถึงสองบริการ แต่ LINE ก็มีบริการใหม่เข้ามาเสริม ได้แก่ ‘LINE Gift’ สำหรับส่ง e-Voucher ให้เพื่อนได้ และ ‘LINE Health’ ที่เปิดให้ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน @LINEHEALTH
ด้าน ‘Chat’ มีการอัปเดตเพื่อรองรับการใช้งานประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอีโมจิรีแอคข้อความ การส่งสติกเกอร์มัดรวมสูงสุด 6 ตัวในครั้งเดียว และล่าสุดปรับฟีเจอร์ ‘Unsend’ จากเดิม 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 1 ชั่วโมง
ส่วน ‘OpenChat’ ก็เน้นบทบาทเชิงคอมมูนิตี้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ ‘Thread’ สำหรับแยกหัวข้อสนทนา และ ‘Live Talk’ ที่รองรับผู้ฟังได้สูงสุด 10,000 คน พร้อมผู้พูดได้สูงสุด 100 คน
นอกจากนี้ LINE ประเทศไทยยังเปิดตัวบริการเสริมอย่าง ‘LINE Premium’ ค่าบริการ 169 บาท/เดือน มาพร้อมสิทธิ 5 อย่าง ได้แก่:
- พื้นที่เก็บข้อมูล 100GB เก็บไฟล์ได้ไม่หมดอายุ
- สร้าง Sub Profile ได้อีก 2 โปรไฟล์ ใช้ชื่อ รูป สถานะ หน้าปกต่างกัน
- เปลี่ยนไอคอน LINE ได้ 20 แบบ
- เปลี่ยนฟอนต์ UI และแชทได้ 7 แบบ
- อัปโหลดภาพ-วิดีโอคุณภาพสูง ลงอัลบั้มได้สูงสุด 100 คลิป (5 นาที/คลิป)
ทั้งหมดนี้สะท้อนทิศทางของ LINE ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่แพลตฟอร์มแชท แต่พยายามต่อยอดไปสู่บริการดิจิทัลรอบด้าน ทั้งการสื่อสาร คอมมูนิตี้ และบริการไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา