เปิดใจเจ้าของ ‘นารายา’ แบรนด์ไทยขวัญใจต่างชาติ ปรับตัวยังไงในวันที่นักท่องเที่ยวไม่มา?

ถ้าพูดถึง ‘แบรนด์ไทย’ ที่เป็นขวัญใจชาวต่างชาติมากกกก ชนิดที่ว่ามาเที่ยวไทยทีไร ก็ต้องหอบกลับบ้านไปฝากเพื่อนๆ ตลอด คุณนึกถึงแบรนด์อะไร?

Naraya

‘นารายา’ (NaRaYa) คือแบรนด์กระเป๋าของคนไทย ฝีมือคนไทย ที่มีลูกค้าต่างชาตินับเป็นสัดส่วนกว่า 90% โดยตีเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาซื้อราวๆ 70% และส่งออกเองอีก 20-25%

หากมาย้อนดูรายได้ 3 ปีที่ผ่านมาของ ‘บริษัท นารายณ์อินเตอร์เทรด จำกัด’ (นารายา) จะเห็นถึงการเติบโตทุกปี โดย

  • 2022: 352 ล้านบาท
  • 2023: 558 ล้านบาท 
  • 2024: 754 ล้านบาท

ปัจจุบัน นารายามีอายุ 36 ปีแล้ว พร้อมหน้าร้านในไทย 18 สาขา และวางขายในญี่ปุ่นตามช็อปของแบรนด์ ‘THREEPY’ บริษัทในเครือ DAISO อีก 79 สาขาด้วย

‘วาสนา รุ่งแสงทอง’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์นารายา เล่าภายในงาน ‘Regional Trade Exponential Fest 2025’ มหกรรมจุดประกายการค้าระดับภูมิภาคว่า สาขาของนารายาจะอยู่ในแหล่งนักท่องเที่ยว เพราะเป็นที่นิยมในหมู่ต่างชาติ และคนไทยบางคนไม่รู้จักแบรนด์นี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งลูกค้าชาวจีนหรือญี่ปุ่นเป็นคนมาขอให้พาไปซื้อ

เรื่องราวของแบรนด์ไทยที่ดังมากๆ ในหมู่ต่างชาติอย่างนารายานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มาดูกัน

จากมัคคุเทศก์ สู่เจ้าของแบรนด์กระเป๋าที่ขายดีจนโดนก็อป

naraya

เดิมทีวาสนาไม่ได้ทำธุรกิจกระเป๋ามาตั้งแต่แรก เพราะเธอจดทะเบียนบริษัทเป็น ‘Trading’ หรือการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากพื้นฐานเคยประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ และมีสามีชาวกรีกที่ทำงานในลิเบียมาหลายปี

อย่างไรก็ตาม กิจการที่วาสนาคิดไว้กลับไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เพราะตนเป็นเพียงตัวกลางในการส่งสินค้าไปยังเมืองนอก และทุกผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปมักมียี่ห้อติดด้วยเสมอ ทำให้สุดท้ายลูกค้าปลายทางจึงเปลี่ยนมาติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตโดยตรงแทน

ณ ตอนนั้น วาสนาเลยคิดว่า บริษัทควรผลิตอะไรเป็นของตนเองบ้าง ซึ่งเธอก็ทำหมดตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะช้อน ตะเกียบ หรือใดๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเพื่อนชาวต่างชาติของสามีเดินทางมาไทย แล้วบอกว่า ก่อนหน้านี้เพิ่งไปงานจัดแสดงสินค้าในเยอรมนีมา แล้วพบว่าไม่มีกระเป๋าชาติไหน สู้ประเทศเราได้เลย

ในทีแรก วาสนามีหน้าที่ช่วยติดต่อโรงงานผลิตกระเป๋าในไทยเท่านั้น แต่ผ่านไปสองปี กลับพบปัญหามากมายในเรื่องของคุณภาพที่ไม่คงที่

สุดท้าย เธอจึงไปชวนพี่สาวกับน้องสะใภ้ผู้จบจาก ‘โรงเรียนสอนตัดเสื้อระพี’ มาช่วยกันทำแบรนด์กระเป๋าด้วยเครื่องจักรเพียง 15 ตัวที่ตั้งอยู่ในบ้าน โดยวาสนารับหน้าที่เป็นคนขายเอง

ทำไปทำมา แม้จะมาเป็นแค่ร้านเล็กๆ แต่ขายได้ดีทีเดียว จนร้านข้างๆ เริ่มเลียนแบบ ชนิดที่ว่า ไปซื้อผ้าลายไหน เขาก็วิ่งไปซื้อตาม ทำให้วาสนาต้องไปจดทะเบียนแบรนด์ในชื่อนารายา ซึ่งมีที่มาจากชื่อบริษัท ‘นารายณ์ อินเตอร์เทรด’ นั่นเอง

เท่านั้นไม่พอ วาสนายังต้องไปดีลกับร้านขายผ้าด้วยว่า ลายอื่นๆ ที่จะขายในอนาคต นารายาขอจองไว้หมด ไม่ให้ขายคนอื่นเลย จนปัจจุบัน ทางแบรนด์ก็จดทะเบียนครอบคลุมเกือบทั่วโลกแล้ว

“นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะว่าเราแข็งแรง และเราพยายามทำสินค้าให้ดี อย่างที่บอก 30 ปี เราไม่เคยมีแผนกมาร์เก็ตติ้งเลย สินค้าเขาขายตัวเอง เขาสวยงาม ราคาไม่แพง สินค้าดี มันก็ขายตัวเอง เราเพิ่งทำมาร์เก็ตติ้งตอนลูกเข้ามาช่วยประมาณ 5 ปีนี้เอง”

วาสนาเชื่อว่า ต่อให้โฆษณาขนาดไหน หากของไม่ดีจริง มันก็เหมือนกับการหลอกลวงลูกค้า ซึ่งทุกคนทราบดีว่า นารายาขายความประณีตและความสวยงาม โดยกระเป๋าทุกใบ แม้จะราคาไม่ถึง 1,000 บาท แต่มีมูลค่าของศิลปะการเย็บ พร้อมไอเดียจากชาวบ้านเกือบๆ 4,000 ครัวเรือนอยู่ในนั้น

ขายดีใช่ว่าจะไม่โดนกระทบจากพิษเศรษฐกิจ

จริงๆ ในปี 2025 นารายาตั้งใจที่จะเปิดสาขาเพิ่มประมาณ 5 แห่ง แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ วาสนาจึงปรับแผนให้เหลือเพียง 1 สาขา ซึ่งก็เปิดไปแล้วที่เยาวราชเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

“ปีที่แล้ว ธุรกิจเริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางปี เราก็คิดว่ามันดีขึ้น ปีนี้ก็เลยแพลนว่าจะเปิด 5 สาขา แต่ว่าเจอเศรษฐกิจแบบนี้ มกรา-กุมภายังโอเค พอมีนามันก็เริ่มดิ่ง เราก็เลยเบรก พิจารณาใหม่ เพราะเรามีประสบการณ์จากช่วงโควิดมาแล้ว เราก็เลยคิดว่า เอ๊ะ อะไรที่ยังไม่ทำ ก็เบรกไว้ก่อน” วาสนาอธิบาย

ในส่วนของสินค้าส่งออกก็แย่ลงเช่นกัน ด้วยปัญหาเศรษฐกิจโลกต่างๆ แถมคนจีนยังมองว่าประเทศเราอาชญากรรมเยอะอีก 

ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่านารายาจะยอมแพ้ เพราะในเมื่อนักท่องเที่ยวไม่มาหาเรา เราก็ต้องไปหาเขาเอง

วาสนาเล่าว่า แม้นักท่องเที่ยวจีนจะมาไทยน้อยลง แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เข้ามาเพิ่ม เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และตะวันออกกลาง เธอจึงคิดว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อาจต้องไปทำตลาดที่ประเทศเหล่านี้ด้วย

อย่างญี่ปุ่น วาสนาก็กำลังทำโปรเจกต์เพิ่มเติมผ่านพาร์ทเนอร์ ขณะที่ในอินโดนีเซีย นารายาจะเริ่มจากการเข้าไปทำเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

นอกจากนั้น ในปีนี้ นารายายังทำโปรเจกต์ร่วมกับ ‘Butterbear’ เพื่อตีตลาดคนไทยด้วย โดยหวังปรับสัดส่วนลูกค้าคนไทยจาก 5-10% เป็น 30%

คนทำธุรกิจต้องตั้งสติ วอนรัฐบาลช่วยเหลือภาคการส่งออกด้วย

logistics โลจิสติกส์

ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่ สถานการณ์โลกก็ไม่สู้ดี แถมนักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเดินทางเข้ามา วาสนาอยากฝากถึงผู้ประกอบการไทยทุกคนว่า ต้องตั้งสติเป็นอันดับแรก

“ยังไงธุรกิจต้องปรับแผนตัวเอง เราไม่รู้ว่าใครแข็งแกร่งอะไรขนาดไหน แผนตัวเอง ทุกคนต้องรู้ดีที่สุด มองภาพให้เห็นความจริงว่า ของเรามันเกิดจากอะไร ต้องมองภาพให้มันเห็นนะว่า ธุรกิจมันเผชิญกับอะไร” วาสนาเชื่ออย่างนั้น

นอกจากนี้ หากใครคิดจะทำสินค้าส่งออก วาสนาอยากให้คำนึงไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่เราทำแบรนด์ มันมีคำว่าประเทศไทยเป็นนามสกุล ดังนั้น ถ้าอยากให้สินค้าไทยผงาดในเวทีโลก เราก็ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และศึกษาวัฒนธรรมประเทศเขาให้ดี โดยอย่าลืมจดทะเบียนสินค้า เพื่อปกป้องตนเองด้วย

แต่จะให้ผู้ประกอบการไทยสู้เองฝ่ายเดียวคงไม่ไหว เพราะวาสนาก็อยากให้รัฐบาลไทยหันมาสนใจภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวบ้าง 

นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ตึกถล่ม จะทำลายความเชื่อมั่นในหมู่ชาวต่างชาติแล้ว วาสนามองว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องการนักท่องเที่ยวจากบ้านเรา จนเกิดการใส่ร้ายป้ายสีขึ้น

ฉะนั้น หากเป็นไปได้ ก็วอนให้รัฐบาลซัพพอร์ตภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ชาวต่างชาติเสียหน่อย

นารายาเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ฝีมือของคนไทยก็เป็นที่รักของชาวต่างชาติได้ แต่ในยามที่เศรษฐกิจและการเมืองโลกผันผวนแบบนี้ แค่ความพยายามของผู้ประกอบการอาจไม่เพียงพอ 

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลต้องก้าวเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้แบรนด์ไทยไม่ใช่แค่ ‘อยู่รอด’ แต่สามารถ ‘เติบโต’ ได้บนเวทีโลก

ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา