จากข้อมูลสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” เปิดเผยว่าในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยเกือบ 40 ล้านคน สร้างรายได้การท่องเที่ยวคิดเป็นประมาณ 19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มูลค่ากว่า 60.5 พันล้านบาท แต่เมื่อการมาของวิกฤตโควิด-19 ทำให้การแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกได้เปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวหันไปเที่ยวประเทศอื่น โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะญี่ปุ่น มีการเติบโตมากถึง 112% ตามด้วยเวียดนามที่ 68% และไทย 47% แต่หากเมื่อเทียบในช่วงก่อนโควิด-19 ไทยยังมีตัวเลขการท่องเที่ยวติดลบ 12% ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวเหลือ 14% จาก GDP
เพื่อนบ้านโหมกลยุทธ์ ราคา วัฒนธรรม เมืองท่องเที่ยวใหม่ๆ
หากเหลียวไปมองเพื่อนบ้าน อย่าง จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ต่างชูจุดเด่น-ออกกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่าง จีน และเวียดนาม ด้วยการเปิดประเทศที่มากขึ้น ค่าครองชีพที่ถูก รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ อินโดนีเซีย ชูเอกลักษณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ความหรูหราสะดวกสบายในราคาที่เข้าถึงได้ ส่วนสิงคโปร์ เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้มีทรัพยากรธรรมชาติที่มากนัก แต่มีแหล่งท่องเที่ยวสร้างใหม่ (Man-Made) ที่หรูหรา สะดวก และปลอดภัย ส่วนญี่ปุ่นชูวัฒนธรรม ความเก่าแก่ ความสวยงามของเมือง การเดินทางที่สะดวกด้วยโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานทั่วประเทศ
หันมามองไทย ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาท่องเที่ยวไทยในในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงเป็นที่มาของนโยบายของรัฐที่ผลักดันให้คนไทยหันมาเที่ยวไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยมาเที่ยว “เมืองน่าเที่ยว” (เมืองรอง) เพื่อให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขยายโอกาสการเติบโตของเมือง กระจายรายได้และลดความแออัดของนักท่องเที่ยวในเมืองหลัก ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จำแนกเมืองหลัก และเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ไว้โดยมีเกณฑ์จากจำนวนนักท่องเที่ยว รายได้จากการท่องเที่ยว จากการจำแนกทำให้ไทยมีเมืองหลักอยู่ 22 จังหวัด และเมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัด การรณรงค์และส่งเสริมการเมืองน่าเที่ยว จึงเป็นนโยบายเรือธงของภาครัฐที่ผลักดัน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีหน่วยงานรัฐไหน ที่จริงจังหรือเป็นตัวตั้งตัวตีในการสนับสนุน “เมืองน่าเที่ยว” อย่างจริงจัง
รายได้กระจุก 5 หัวเมืองการท่องเที่ยวในไทย
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี 2567 พบว่ากว่า 33.79% รายได้จากการท่องเที่ยวในไทยกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และ 40.55% กระจุกตัวใน 5 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก (ชลบุรี, ภูเก็ต, เชียงใหม่, กระบี่ และสุราษฎร์ธานี) การผลักดันให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนไทย ไปท่องเที่ยวยังเมืองน่าเที่ยวจึงมีความท้าทายเป็นอย่างมาก ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง อาทิ ระบบคมนาคมขนส่ง ระบบการเดินทางไม่สะดวก ขนส่งสาธารณะยังไม่ครอบคลุม เมืองน่าเที่ยวยังขาดแคลนแห่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ หรือ กิจกรรมการท่องเที่ยวไม่โดดเด่น สุดท้ายเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคที่มีคุณภาพยังไม่เพียงพอ
สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ด้วย “Cluster Tourism”
การที่จะให้การท่องเที่ยวในเมืองน่าเที่ยวเจาะไปยังจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง หากดูปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวนั้น คงไม่เพียงพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้แวะเที่ยวแต่ละจุดหรือต่อเนืองในเมืองแบบข้ามวันได้ เป็นได้แค่เพียงเมืองผ่าน ที่ไว้แค่แวะกินข้าว หรือคาเฟ่ระหว่างเดินทางไปยังหัวเมืองหลัก นั่นเลยเกิดความคิดที่จะรวมเมืองน่าเที่ยวที่มีพื้นที่ติดกันมากกว่า 1 เมือง ที่มีอัตลักษณ์ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่า ทำให้เป็นกลุ่มเมืองที่รวมตัวกันมีขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างรายได้ เกิดการพัฒนาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างของการท่องเที่ยว Cluster Tourism ในไทยที่จะสามารถสร้างให้เป็นรูปธรรมได้ อาทิ คลัสเตอร์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสปา, คลัสเตอร์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, คลัสเตอร์ท่องเที่ยวเชิงอาหาร, คลัสเตอร์ท่องเที่ยวเชิงการเกษตร เป็นต้น
หากจะยกตัวอย่างประเทศที่ทำ Cluster Tourism ได้อย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลชัดเจนที่สุดคือ ญี่ปุ่น ด้วยตัวเมืองและจังหวัดที่ถอดยาวเป็นลักษณะเกาะ ภูมิทัศน์ประเทศที่ประกอบไปด้วยทะเล ภูเขา ป่าไม้ต่างๆ จากเหนือจรดใต้เป็นทางยาว ซึ่งบางพื้นที่เป็นอุปสรรค์ในการท่องเที่ยว ทั้งการเดินทาง ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเข้ามาแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยว ด้วยการจัดทำการท่องเที่ยว Cluster Tourism โดยวางรากฐานการท่องเที่ยวแบบเชิงลึก ซึ่งใน 1 Cluster จะประกอบไปด้วย เมืองหลัก ที่เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับเมืองที่เป็นศูนย์กลางในการเดินทาง และเมืองย่อยๆ ที่เป็นแหล่งกิจกรรมการท่องเที่ยว และกลุ่มเมืองดังกล่าว จะต้องมีจุดที่เชื่อมโยง ระหว่างเมือง ทั้งการเดินทาง กิจกรรม วัฒนธรรม เพื่อสามารถขยายเวลาการท่องเที่ยว และสามารถเล่าเรื่องราว ที่จะเชื่อมสินค้าและการบริการได้อย่างสอดคล้องและลงตัว และส่วนสุดท้ายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้ เกิดการอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่พัก บริการต่างๆ และผลที่ได้รับจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งคนในประเทศ และชาวต่างชาติ
รูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดในการพัฒนาการท่องเที่ยว Cluster Tourism ของญี่ปุ่น คือการนำร่องพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวจำนวน 10 แหล่ง โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่เกษตรกรรมและหมู่บ้านการประมง, อนุญาตให้โรงแรมและที่พักที่ได้รับการรับรองทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายทัวร์ได้เป็นกรณีพิเศษ, ให้ภาคเอกชนสามารถให้บริการการเดินทางได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตเต็มรูปแบบ, อนุญาตและส่งเสริมให้ท้องถิ่นทำตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะแบบเหมาจ่าย และสุดท้ายพัฒนาแหล่งชุมชน พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวประจำคัสเตอร์ให้รองรับปริมาณคนมาท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ ทั้งหมดนี้ ส่งผลทำให้การท่องเที่ยวแบบ Cluster Tourism ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
การนำ Mobility data มาวิเคราะห์พฤติกรรมการท่องเที่ยว
อะไรที่จะมาวิเคราะห์ การออกแบบ Cluster Tourism ในไทยให้มีความแม่นยำ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) – สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น และ คลาวด์แอนด์กราวด์ ในการจัดทำโครงการที่มีชื่อว่า “Routes to Roots” บนการอ้างอิงการจัดทำนโยบายบนพื้นฐานของหลักฐาน (Evidence-based policy making) คือ กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะโดยอาศัยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการบูรณาการความรู้จากงานวิจัยมาใช้ในการออกแบบนโยบาย แทนที่จะใช้วิจารณญาณหรือความเชื่อส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว
Routes to Roots เป็นโครงการที่ได้นำ Data Playground ของทรู ผ่านข้อมูลการเดินทาง (mobility data) ของนักเดินทางที่ใช้งานเครือข่ายทรู และดีแทค ระหว่างปี 2566 – 2567 คิดเป็นจำนวนกว่า 500 ล้านทริป แยกเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 502.5 ล้านทริป และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้ roaming 3.22 ล้านทริป นำมาวิเคราะห์พฤติกรรม การเคลื่อนที่ เวลาในการท่องเที่ยว การกระจายตัวการเดินทางในพื้นที่ต่างๆ มีความแม่นยำ ความละเอียดระดับตารางกิโลเมตรพร้อมข้อมูลอัปเดทรายชั่วโมง จึงได้พบรูปแบบการเดินทางที่สำคัญที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็น “เมืองน่าเที่ยว” ที่เอื้อต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว อาศัยเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่เชื่อมโยงเป็นเส้นทางการเดินทางใหม่ๆ ภายใต้ “กลยุทธ์การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์” (Cluster Tourism)
หลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่าง ข้อมูลการเดินทาง (mobility data) สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆของการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ได้จากรูปแบบการเคลื่อนที่ จนได้ 25 คลัสเตอร์ โดยจะแบ่งพฤติกรรมการเดินทางสองรูปแบบ ได้แก่ คู่จังหวัดการเดินทางแบบไปกลับ (A – B – A) และกลุ่มคลัสเตอร์การเดินทางเป็นสามเหลื่ยม (A – B – C – A)
และหากจัดระเบียบข้อมูลเป็นชุดใหม่ โดยแบ่งเป็นลักษณะคลัสเตอร์เมืองน่าเที่ยวได้ 21 คลัสเตอร์ ที่สามารถพัฒนาสู่การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ ตัวอย่างเช่น เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน, นครปฐม-ราชบุรี-กาญจนบุรี, เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม, ขอนแก่น-ชัยภูมิ เป็นต้น และการคัดเลือกคลัสเตอร์นำร่องในแต่ละภูมิภาค จะต้องมีดัชนีชี้วัดศักยภาพของคลัสเตอร์ ทั้งระยะเวลาพำนักเฉลี่ย รายได้จากการท่องเที่ยวของชาวไทย จำนวนผู้มาเยี่ยมเยือน ปริมาณการเดินทางในกลุ่มจังหวัด และระยะเวลาเยื่ยมเยือนในแต่ละจุด จึงได้คลัสเตอร์ 6 กลุ่มจังหวัดนำร่องแบ่งตามภูมิภาคทั่วประเทศ ดังนี้
- ภาคเหนือ คลัสเตอร์เชียงใหม่ – ลำปาง – ลำพูน
- ภาคอีสาน คลัสเตอร์บุรีรัมย์ – สุรินทร์ – ศรีสะเกษ
- ภาคตะวันออก คลัสเตอร์จันทบุรี – ตราด
- ภาคตะวันตก คลัสเตอร์ประจวบคีรีขันธ์ – เพชรบุรี – สมุทรสงคราม – สมุทรสาคร
- ภาคกลาง คลัสเตอร์สุพรรณบุรี – ชัยนาท – อุทัยธานี
- ภาคใต้ คลัสเตอร์นครศรีธรรมราช – พัทลุง
* เปิดรายงาน Mobility Data 6 คลัสเตอร์เมืองรองน่าเที่ยว นักท่องเที่ยวชอบไปที่ไหนบ้าง
5 ปัจจัยสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์
กลุ่มคลัสเตอร์จะมีศักยภาพในการพัฒนาสู่เส้นทางท่องเที่ยวได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่
- มีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการกำหนดอัตลักษณ์ของแต่ละคลัสเตอร์ วิเคราะห์จาก mobility data โดยการนำตัวอย่างมาวิเคราะห์การกระจุกตัวอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สามารถวิเคราะห์ความหนาแน่นในพื้นที่ที่ได้รับความนิยมในการท่องเที่ยว และจะจำแนกอัตลักษณ์การท่องเที่ยวในแต่ละคลัสเตอร์ได้อย่างชัดเจน
- มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น ซึ่งช่วยให้เห็นลักษณะและพื้นที่กระจุกตัวของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เกิดการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงจากข้อมูลผู้ใช้งานจาก Big data ผู้ใช้งานทรูและดีแทค ในพื้นที่ที่ได้มีการเก็บตัวอย่างแบบไม่ได้ระบุตัวตน จนได้ลักษณะนักท่องเที่ยวที่โดดเด่นดังนี้
– คลัสเตอร์ภาคเหนือ เชียงใหม่ – ลำปาง – ลำพูน เป็นเพศชายอายุ 61 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ภาคเหนือ สนใจในศิลปะวัฒนธรรมและการจับจ่ายใช้สอย
– คลัสเตอร์ภาคอีสาน บุรีรัมย์ – สุรินทร์ – ศรีสะเกษ อายุไม่เกิน 40 ปี สนใจใน กีฬา เกม และอาหารการกิน
– คลัสเตอร์ภาคกลาง สุพรรณบุรี – ชัยนาท – อุทัยธานี เป็นเพศหญิง อายุ 41 ปีขึ้นไป อาศัยนอกพื้นที่ภาคกลาง สนใจการจับจ่ายใช้สอย
- เห็นบทบาทของแต่ละจังหวัดในแต่ละคลัสเตอร์ โดยพบว่าแต่ละเส้นทางจะประกอบด้วยเมืองศูนย์กลาง เมืองบริวาร และเมืองส่งเสริมพิเศษ โดยการจำแนกลำดับศักย์โดยการใช้ mobility data จากชุดข้อมูลปริมาณการท่องเที่ยวในช่วงกลางวัน – กลางคืน และสัดส่วนในการพักค้าง
- ต้องคำนึงถึงการรับมือผลกระทบทางการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ เพื่อป้องกันสภาวะ overtourism และส่งเสริมให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับ (carrying capacity) โดย mobility data สามารถวิเคราะห์ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ เช่น นินมานเหมินทร์ 342 คน/ตร.กม./วัน หรือวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร 74 คน/ตร.กม./วัน เราต้องหาวิธีที่จะนำนักท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่กระจุกตัว ให้กระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง จะช่วยสร้างความยั่งยืน ลดความแออัดให้กับชุมชนลงได้
- ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่ๆ ด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่เป้าหมาย จากข้อมูล mobility data พบว่าลักษณะการท่องเที่ยวระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติ มีรูปแบบไปแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ดังนั้นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้สัมผัสการท่องเที่ยวในรูปแบบของชาวไทย เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ยังเป็นการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจในกลุ่มเมืองน่าเที่ยว
ปั้นซัพพลาย ยกระดับพื้นที่ กระจายรายได้ สู่เมืองน่าเที่ยว
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม และผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จากบริบทใหม่ด้านการแข่งขัน การปั้น “ซัพพลาย” ใหม่จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวไทย เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน พร้อมกับกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่พื้นที่ศักยภาพใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า “เมืองน่าเที่ยว”

ผศ.ดร. ณัฐพงศ์ ได้นำ mobility data มาวิเคราะห์ศักยภาพและประเด็นการพัฒนาในแต่ละคลัสเตอร์ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุเมืองศูนย์กลางและเมืองบริวาร ทิศทางและปริมาณการเดินทางระหว่างจังหวัด การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในแต่ละฤดูกาลทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นในแต่ละคลัสเตอร์ ซึ่งทำให้คณะวิจัยสามารถสรุปประเด็นการพัฒนาและลักษณะนักท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นของพื้นที่ในแต่ละคลัสเตอร์ล้านนา ได้ดังนี้
คลัสเตอร์ล้านนา เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน
- เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยว มีเชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางและมีลำพูนเป็นพื้นที่ที่ดึงดูดทั้งการท่องเที่ยวในเวลากลางวันและการพักค้างได้น้อยที่สุด
- ปริมาณการเดินทางระหว่างจังหวัดในคลัสเตอร์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคลัสเตอร์อื่นในประเทศไทย
- เป็นคลัสเตอร์มีสัดส่วนการท่องเที่ยวแบบไปกลับสูงกว่าคลัสเตอร์อื่นๆ
- สัดส่วนการท่องเที่ยวและการพักค้างในจังหวัดลำพูนและลำปางมีสัดส่วนต่ำ โดย 63.60% ของนักท่องเที่ยวและ 58.41% ของการพักค้างกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
- พื้นที่ที่มีการกระจุกตัวนักท่องเที่ยวสูง ได้แก่ พื้นที่เมืองเก่าในอำเภอเมืองแต่ละจังหวัด
- ปริมาณการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพ.ค. – ก.ย. น้อยกว่าช่วงอื่นๆ ของปีอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว
- กระจายนักท่องเที่ยวจากจังหวัดเชียงใหม่ไปสู่จังหวัดลำพูนและลำปาง
- กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองเก่าและวิถีล้านนาในสามจังหวัด
- ส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลำพูนและลำปางโดยการพัฒนากิจกรรมท่องเที่ยว สินค้า และบริการที่ช่วยกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่นอกเหนืออำเภอเมือง
- กระตุ้นการพักค้างในจังหวัดลำพูนและลำปางโดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในช่วงกลางคืน
- ส่งเสริมการท่องเที่ยวนอกช่วง Hi-season โดยอาจดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงานตอนปลายจากภูมิภาคอื่น ผ่านการท่องเที่ยวเล่นกอล์ฟ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กิจกรรม MICE หรือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Wellness
“กลยุทธ์การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์นี้ ช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งนักนโยบาย นักการตลาด นักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ประกอบการรายย่อย เห็นภาพอุตสาหกรรมด้วยมุมมองใหม่ๆ เห็นโอกาสใหม่ๆ กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ รูปแบบการเดินทางใหม่ๆ ที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตโดยอยู่บนพื้นฐานแห่งความยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่คุณค่า ความหมาย และประสบการณ์ที่แท้จริง คือ ความต้องการของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา