สมัยก่อนเวลาจะซื้อของจากกรุงเทพฯ ไปฝากคนที่บ้าน เราอาจเลือกซื้อโดนัทเจ้าดังหิ้วขึ้นเครื่องบินกลับไป แต่สำหรับยุคนี้แล้ว ที่เขาถือถุงส้มๆ กลับบ้านกัน มันคือแบรนด์อะไรนะ?
‘YOLK’ เป็นแบรนด์ทาร์ตไข่สัญชาติไทย ที่แม้จะเพิ่งเปิดตัวไปได้แค่ 8 เดือน แต่ก็สร้างยอดขายถล่มทลาย ทะลุเดือนละ 1 แสนชิ้นไปเป็นที่เรียบร้อย
เดิมที YOLK ตั้งเป้ายอดขายให้แตะ 100 ล้านบาทภายในปีแรกที่เปิดตัว แต่ผ่านไปแค่สามไตรมาส ก็ทำถึงเป้าเสียแล้ว บริษัทจึงปรับเป้าเป็น 200 ล้านบาทภายในปี 2025 และอยากเปิดสาขาเพิ่มประมาณ 8-10 แห่งในปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ยอดขายไม่ใช่เรื่องเดียวที่บริษัทให้ความสำคัญ เพราะ ‘อิน-สาริน รณเกียรติ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด หรือเจ้าของแบรนด์ YOLK และ Holiday Pastry ต้องการให้ทั่วโลกรู้ว่า นอกจากอาหารไทยอันเลื่องชื่อแล้ว ประเทศเรายังมี ‘แบรนด์ไทย’ โมเดิร์นที่น่าสนใจอยู่
ด้วยเหตุนี้ YOLK จึงไปจับมือกับอีก 4 แบรนด์ไทยชั้นนำ ได้แก่ โอ้กะจู๋, แก้ว Boutique, SongWat Coffee Roasters และ JIAN CHA ในการทำโปรเจกต์ ‘Proudly Made in Thailand’ เพื่อยกระดับแบรนด์ไทยสู่ระดับโลก
โปรเจกต์นี้จะเป็นอย่างไร มาดูกัน
การตลาดแบบใหม่ ปล่อยรสใหม่ทุกวันจันทร์ ให้คนเห็นซ้ำและเห็นนานที่สุด
‘อิน’ เล่าว่า ในโปรเจกต์ Proudly Made in Thailand จะมีการเปิดตัวทาร์ตไข่ 4 รสชาติ ในทุกๆ วันจันทร์ โดยเริ่มจาก
- YOLK x โอ้กะจู๋ กับทาร์ตไข่รสซุปทรัฟเฟิลชีสน้ำผึ้ง วางขายในวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2025
- YOLK x SongWat Coffee Roasters กับทาร์ตไข่รสกาแฟเดอร์ตี้โมจินมสด วางขายในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2025
- YOLK x แก้ว Boutique กับทาร์ตไข่รสสังขยาใบเตยน้ำตาลโตนด วางขายในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2025
- YOLK x JIAN CHA กับทาร์ตไข่รสเจลลี่องุ่นเคียวโฮครีมชีส วางขายในวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2025
แม้จะไล่เปิดตัวแต่ละรสชาติทีละสัปดาห์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะขายแค่อาทิตย์เดียว เพราะหลังจากเปิดตัวแล้ว ทุกรสชาติจะอยู่ไปยาวๆ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2025 โดยสามารถสั่งซื้อที่ร้าน YOLK ทุกสาขา รวมถึงในช่องทางเดลิเวอรีด้วย
ถ้าถามว่าทำไมไม่วางขายทีเดียวพร้อมกันทุกรสชาติ? คำตอบจากอินก็ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะมันคือความตั้งใจของแบรนด์ที่อยากสร้าง ‘ภาพจำ’ ให้คนเห็นโปรเจกต์นี้ตลอดทั้งเดือนเลยต่างหาก
ในส่วนของสาเหตุที่ YOLK เลือก 4 แบรนด์นี้มาร่วมงานด้วย อินก็ตอบว่า มันเริ่มจากการคิดก่อนว่าควรมีทาร์ตไข่รสชาติมิติไหนบ้าง แล้วจึงค่อยไปดูว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่ตรงกับหมวดรสชาติที่วางไว้
“หนึ่ง เราอ้างอิงจากรสชาติก่อน มองในมุมของผู้บริโภคคือคุณเดินเข้ามาที่หน้าร้าน แล้วต้องได้รสชาติของทาร์ตไข่ที่เป็นตัวเลือกให้ครบทุกมิติ อยากกินคาว มี อยากกินหวานน้อย มี อยากกินสดชื่น มี สอง ตอนที่เรามาเขย่าแบรนด์ เราก็พยายามเขย่าให้แบรนด์มันหลากหลาย จริงๆ แล้ว อีกหนึ่งเหตุผลในการทำคอลแลบ คือเพื่อขยายฐานลูกค้า ให้มันเกิดการแลกเปลี่ยนกัน เราก็เลยพยายามจับกลุ่มเป้าหมายที่มันหลากหลายนิดนึง”
แบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดโลก หากไม่มีใครสนับสนุน เราก็ต้องช่วยกันเอง
นอกจากการคอลแลบร่วมกับแบรนด์ไทยชั้นนำแล้ว ในโปรเจกต์นี้ YOLK ยังผสานความเป็นไทยเข้าไปอีก ผ่านการตกแต่งทุกสาขาด้วยเอกลักษณ์ของไทย เช่น ป้ายสี่แยก รถตุ๊กตุ๊ก และผ้าสามสี ขณะที่บรรจุภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนเป็นสไตล์คล้ายๆ ‘ถุงรุ้ง’ แบบ Limited Edition
อินมองว่า การคอลแลบกันในครั้งนี้จะสามารถสู้กับต่างชาติได้ และอยากชักชวนให้คนไทยเห็นว่า แบรนด์ไทยก็มีดีไม่แพ้ชาติใดในโลก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีแบรนด์ต่างชาติขยายเข้ามารุกตลาดมากขึ้นจริงๆ ซึ่งสำหรับอินแล้ว โปรเจกต์นี้เขาทำในฐานะแบรนด์ไทยและคนไทยที่อยากดันธุรกิจไทยให้เติบโตไปข้างหน้า
ในฐานะที่อยู่ในธุรกิจ SME มานาน และมีเพื่อนทำแบรนด์ไทยค่อนข้างเยอะ อินเห็นมาตลอดว่า ที่ผ่านมา บางคนรอด บางคนล้มหายตายจาก ขณะที่บางคนโดนแบรนด์ต่างชาติรุกตลาด ทำให้คิดว่า “ถ้าไม่มีใครซัพพอร์ตเรา เราก็ต้องซัพพอร์ตกันเอง”
“พอเราพูดถึงประเทศไทย ทั่วโลกรู้จักอาหารและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี แต่อินอยากจะแนะนำและยกระดับแบรนด์ไทยด้วย เหมือนเวลาเราไปเที่ยวเกาหลี เที่ยวญี่ปุ่น ก็คืออยากไปเพราะแบรนด์ อยากไปแวะช็อปปิ้งแบรนด์ใหญ่ๆ ต่างๆ เช่นเดียวกัน อยากให้คนมาประเทศไทย ไม่ใช่แค่เที่ยววัดหรือกินอาหารไทย แต่จริงๆ แล้วมีลิสต์ของแบรนด์ไทยที่คุณต้องมาเช็กอิน”
อินเสริมว่า YOLK ใช้พนักงานชาวไทยในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ครัวกลางยันหน้าร้าน ต่างจากแบรนด์ต่างประเทศบางเจ้า ที่ยกคนจากชาติตนเองมาทั้งแผงเลย ไม่เว้นแม้แต่ในโรงอาหารของโรงงาน ทำให้ไม่เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพให้คนไทย
ร้านดังไม่ยากเท่าทำอย่างไรให้ร้านอยู่นาน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าเรามาสังเกตสภาพเศรษฐกิจของไทยในตอนนี้ จะเห็นเลยว่าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ร้านอาหารปิดตัวลงก็เยอะไม่น้อย แต่ทำไมแบรนด์น้องใหม่อย่าง YOLK ถึงกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือด?
อินยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนวัตถุดิบหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นสูงมากทีเดียว เช่น เนยที่บริษัทใช้ปีละ 10 ตันต่อแบรนด์ ก็ราคาเพิ่มขึ้น 3 เท่าแล้ว
“เป็นปีที่ต้องทำการบ้านหนัก ผู้บริโภคเอาเงินออกจากกระเป๋ายากขึ้นอย่างชัดเจนมากๆ แปลว่า สินค้าเดิม ถ้าจะขายราคาเท่าเดิม ต้องมีลูกเล่นมากขึ้น มีความคุ้มค่าให้เขามากขึ้น มีธีม มีคอนเซปต์ครอบ ให้เขาได้รู้สึกเอนจอยและสนุกไปกับสิ่งที่เขาเคยได้รับประทาน” อินกล่าว
อินเล่าว่า ก่อนที่จะมาทำ YOLK ก็ศึกษามาแล้วว่า จริงๆ คนไทยชอบทาน ‘ขนมอบ’ เป็นทุนเดิม ดังนั้นแม้ตอนนี้กระแสทาร์ตไข่อาจซาลงบ้าง แต่ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่บริโภคอยู่ตลอดและมากพอให้แบรนด์ยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน ตราบใดที่ยังคอยมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าเสมอ
นอกจากนี้ ในมุมมองของอิน ปัจจัยที่ทำให้ YOLK ประสบความสำเร็จคือ
- มาตรฐาน เนื่องจาก YOLK มีการควบคุมคุณภาพที่ดี และแม้ว่าทุกวันนี้ต้องผลิตเดือนละเกือบ 2 แสนชิ้น แต่ทุกๆ ชิ้นก็จะเหมือนกันหมด เพราะมีการดูแลตั้งแต่ครัวกลางยันหน้าร้าน
- พนักงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำต้องอบขนมเป็นทุกคน โดย YOLK จะคัดเลือกบุคลากรที่จบด้านเบเกอรีมา และคาดว่าอาจเป็นแบรนด์เดียว ณ ตอนนี้ที่อบขนมสดๆ หน้าร้านในทุกๆ 22 นาที
“ร้านดังไม่ยากเท่าร้านที่ยืนระยะได้ยาว สมัยนี้ร้านดังก็คือ KOL แต่ทำยังไงให้ร้านมัน Sustain ได้ในระยะยาว อินคิดว่า Key Success มีหลายอย่าง Team Building สำคัญ การศึกษาพฤติกรรมเพื่อมาอัปเดตผลิตภัณฑ์ของเราใหม่ๆ ตลอดสำคัญ การที่มีโปรเจกต์ตลอดปีให้ลูกค้าได้สนุกกับเรา ได้ร่วมไปกับเรานี่สำคัญ จริงๆ แล้วในปีหนึ่ง คิดว่าต้องมีโปรเจกต์ใหม่ มีผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ลูกค้าได้ติดตามกันตลอดเหมือนกัน สุดท้ายก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Standardization เรื่องของ Quality Control ต่างๆ ทุกชิ้นต้องประทับใจเท่ากันหมด”
นอกจากโปรเจกต์ Proudly Made in Thailand ที่จะมาแสดงจุดยืนความเป็นแบรนด์ไทยพร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าแล้ว ในปีหน้า YOLK ยังมีโครงการอีกมากมายมาตอกย้ำเป้าหมายการเป็นทาร์ตไข่อันดับ 1 ในประเทศ โดยคุณอาจได้เห็นพวกเขาบนเครื่องบิน รวมถึงต่างจังหวัดด้วย
จากความสำเร็จของ YOLK เราคงเห็นกันแล้วว่า ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือด และการรุกตลาดจากต่างชาติ ก็ยังมีแบรนด์ไทยดีๆ อีกจำนวนมากที่พร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ไปสู่ระดับโลก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา