อสังหาติดลบ ‘สัมมากร’ หันโฟกัสบ้าน 20 ล้าน พร้อมแผนขยาย ‘ตลาดสัมมากร’ เพราะพิสูจน์แล้ว ขายของกินต้านทานได้ทุกวิกฤต

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน ‘อสังหาริมทรัพย์’ ย่อมกระทบหนักไม่ต่าง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ อย่างไรทุกคนก็จะต้องหาวิธีการข้ามผ่านวิกฤตรอบนี้ไปให้ได้ 

Brand Inside มีโอกาสได้พูดคุย ‘ณพน เจนธรรมนุกูล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สัมมากร จำกัด  (มหาชน) ผู้บริหารหนุ่มผู้กุมบังเหียนคนปัจจุบันของ ‘สัมมากร’ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีอายุมากถึง 55 ปี ว่าเขามองสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรและจะใช้วิธีไหนพาสัมมากรข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้

อสังหาติดลบ 20% ฝั่ง ‘สัมมากร’ ก็กระทบเช่นกัน

‘ณพน’ เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า ตลาดอสังหาฯ​ ในปีนี้ “ดีน้อยกว่าปีที่แล้ว” และชะลอตัวลงอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากยอดโอนที่อยู่อาศัยที่ติดลบกว่า 20% เช่นเดียวกันกับ ‘สัมมากร’ ที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์ใกล้เคียงกัน

แต่ถึงอย่างนั้นผู้บริหารของสัมมากรก็ยืนยันว่า ตลาดตอนนี้ไม่ถือว่า “แย่มากๆ” เพราะจริงๆ แล้วคนไทยยังมีความต้องการซื้อบ้านอยู่ เพียงแต่เจอเข้ากับ 2 ปัญหาหลักอย่าง ‘ความมั่นใจ’ ในการซื้อที่ลดลงของลูกค้าและ ‘ความเข้มงวด’ ในการปล่อยกู้ของธนาคารที่มากขึ้นๆ อันมาจากสาเหตุเดียวกันอย่างสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก

ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะแย่กว่าครึ่งแรกของปี เพราะสถานการณ์ภาคอสังหาฯ มักจะไปในทิศทางเดียวกับ GDP ของประเทศที่ปีนี้หลายๆ ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะเติบโตไม่ถึง 2% จากหลายๆ ปัจจัย ทั้งนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาเต็มที่และปัญหาสงครามการค้าที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความไม่แน่นอน

ฝั่งของสัมมากรเองเห็นสัญญาณที่ไม่ดีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในปีนี้จึงปรับตัวด้วยการควบคุมสต็อกและเปิดโครงการใหม่อย่างระมัดระวังมากขึ้น จากปกติเคยเปิดโครงการใหม่ 4-5 โครงการต่อปี ในปีนี้จึงลดลงเหลือเพียง 3 โครงการเท่านั้น โดยเลือกจากโครงการที่มั่นใจในผลตอบรับและขนาดเล็ก เพื่อลดความเสี่ยงลง

โฟกัสกลุ่ม 20 ล้านขึ้นไป เพราะธนาคารให้กู้ง่ายกว่า

ถึง ‘ณพน’ จะยืนยันว่า “บ้านเป็นสินค้าที่มี Real Demand อยู่เสมอ” ในทุกๆ ระดับราคา เพราะจำเป็นต่อการใช้ชีวิตและสร้างครอบครัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้กลุ่มบ้านราคาถูกเสี่ยงถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารมากกว่ากลุ่มบ้านราคาสูง ทำให้ปีนี้สัมมากรหันมามุ่งเป้าโฟกัสกับกลุ่มลูกค้าระดับที่ซื้อบ้านราคา 20-30 ล้านมากขึ้น 

โดยลูกค้าของกลุ่มบ้านราคา 20-30 ล้านบาทมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่ยังไม่มีครอบครัว คู่รักที่ไม่มีลูก ครอบครัวที่มีลูกคนเดียว ไปจนถึงกลุ่มที่เลี้ยง ‘สัตว์เลี้ยง’ เหมือนลูกและต้องการพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มคนวัย 30 กลางๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและต้องการพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น 

ปลายปีนี้ 3 โครงการที่จะเห็นจากสัมมากรจึงเป็นโครงการใกล้เมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการทาวน์โฮมย่านลาดพร้าว โครงการบ้านเดี่ยวย่านเกษตร-นวมินทร์ และโครงการบ้านแฝดย่านลาซาล

ขณะเดียวกัน สัมมากรก็ได้ขยายตลาดไป ‘เขาใหญ่’ เพราะเห็นเทรนด์ ‘สุขภาพ’ ที่กำลังแพร่หลายในหมู่คนไทย หลายคนมองหาบ้านพักตากอากาศที่มีพื้นที่กว้างขวาง เหมาะกับการพักผ่อน ห่างไกลจากฝุ่น PM 2.5 โดยเล็งลูกค้าหลายกลุ่มทั้งกลุ่มบ้านพักตากอากาศ กลุ่มย้ายไปอยู่ถาวะ หรือกลุ่มเกษียณอายุแล้ว 

ทางด้านการแข่งขัน ซีอีโอของสัมมากรบอกว่า แม้การแข่งขันในตลาดบ้านแนวราบจะต้องแข่งขันกับแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ หลายแบรนด์ แต่สัมมากรจะใช้จุดแข็งด้านคุณภาพและความคุ้มค้า ที่สำคัญคือ ‘ฟังก์ชันที่เข้าใจวิถีชีวิตคนไทย’ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์

ตั้งแต่การเลือกออกแบบตู้รองเท้าให้มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน การออกแบบครัวไทยให้สามารถรองรับการทำอาหารไทยที่มีกลิ่นแรงได้จริงและทำความสะอาดได้ง่าย ไปจนถึงการออกแบบที่จอดรถให้เหมาะสำหรับรถยนต์หลากหลายประเภทมากขึ้น

‘ณพน’ บอกอีกว่า ตอนนี้สัมมากรเป็นองค์กรที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะผู้บริหารระดับ C-Level ที่มีอายุค่อนข้างน้อย ทำให้บริษัทเข้าใจลูกค้าและอยากปรับตัวเข้าหาคนรุ่นใหม่ ผ่านความพยายามในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งจะเป็นลูกค้าในอนาคตของแบรนด์

ขยาย ‘ตลาดสัมมากร’ พิสูจน์แล้ว ต้านทานได้ทุกวิกฤต

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของสัมมากรจากมา 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือกลุ่ม Non-recurring หรือรายได้จากการขายบ้านที่มีสัดส่วนประมาณ 80% ของรายได้ทั้งหมด และกลุ่ม Recurring หรือธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง ที่ตอนนี้มีสัดส่วนประมาณ 20% 

โดยรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้มาจาก ‘ธุรกิจตลาด’ ที่แม้รายได้จะเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับการขายบ้าน แต่มีอัตรากำไรสูง ตอนนี้สัมมากรมีตลาดอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ตลาดสัมมากร รามคำแหง (จำนวนผู้ค้า 750 ร้าน) ที่มีแผนจะปรับปรุงขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นในปีนี้ และ ตลาดสัมมากร เมืองเอก (จำนวนผู้ค้า 400 ร้าน) ที่ได้ปรับปรุงขยายพื้นที่ไปเมื่อปีก่อน

“ตลาดเป็นธุรกิจที่ผ่าน Crisis proof มาแล้วว่าสามารถทนทานต่อวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี ทั้งในช่วงโควิดที่ทุกอย่างหยุดหมดยกเว้นตลาด หรือในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่ดีคนก็ยังคงเดินตลาดอยู่ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับของเดิม เพราะตลาดของเราขายของกินเป็นหลัก เป็นของกินที่ราคาไม่แพง เลือกร้านค้ามาอย่างดี จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในพื้นที่นี้ไปแล้ว”

‘ณพน’ จึงตั้งเป้าเพิ่มกำไรจากธุรกิจในกลุ่ม Recurring เป็นครึ่งหนึ่งของกำไรทั้งหมดของสัมมากร โดยมองภาพของสัมมากรเป็น ‘ตลาดของชุมชน’ ที่ยั่งยืนมากกว่าตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวหรือขาจร 

หันมาโฟกัสภายในองค์กร ส่งทีมออกไปรับงานนอก

ท่ามกลางวิกฤตแบบนี้ สัมมากรยังหันมาโฟกัส ‘ภายใน’ ขององค์กรมากขึ้น ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และปรับปรุงระบบการทำงานให้ดีขึ้นกว่าอดีต หวังให้องค์กรแข็งแกร่งกว่าเดิมหลังวิกฤตผ่านพ้นไป

ระหว่างนั้นก็ยังได้มองหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ ผ่านการ ‘นำความสามารถของทีม’ ไปให้บริการแบบ B2B เช่นรับจ้างพัฒนาโครงการให้กับลูกค้าภายนอก 

ความตั้งใจของซีอีโอรุ่นใหม่อย่าง ‘ณพน’ คืออยากจะพาสัมมากรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอายุถึง 100 ปีได้ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนและระบบการทำงานที่ดี สร้างทีมที่สามารถรับมือกับวิกฤตต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น

“ตั้งแต่เริ่มเข้ามาดูแลสัมมากรก็มีหลายวิกฤตที่เข้ามาจึงมองเป็นบททดสอบที่ดีและเป็นการฝึกให้พนักงานของเรายืดหยุ่น พร้อมรับกับสถานการณ์ เพราะสถานการณ์มันไม่ได้ดีเสมอไป เวลาดีเราก็ enjoy ทำยอดขายและกำไรได้เต็มที่ แต่ในวันที่ไม่ดี เราก็เรียนรู้ที่จะปรับตัว”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา