เตรียมรับแรงกระแทก! หลังปิดดีลภาษีทรัมป์ที่ 19% ธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างไรในการค้าโลก?

สิ้นสุดกันทีไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน (?)

หลายคนคงทราบแล้วว่า ประเทศไทยของเราปิดดีล ‘ภาษีศุลกากรตอบโต้’ กับประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้ในอัตรา 19%

แต่คำถามคือ หลังจากนี้ ธุรกิจไทยจะเอาตัวรอดอย่างไร?

มาย้อนรอยดูสิ่งที่ ‘SCB EIC’ หรือ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เคยวิเคราะห์ไว้กัน

ผลดีก็มี แต่ผลเสียเยอะกว่า

เมื่อเดือนเมษายน 2025 SCB EIC เผยว่า ไม่ว่าการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร ธุรกิจไทยก็ยังคงได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยสามารถจำแนกผลดีและผลเสียออกเป็นดังนี้

ผลกระทบเชิงบวก: อาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากประเทศที่ออกมาตรการตอบโต้ภาษีของ Trump

ผลกระทบเชิงลบ: 

  1. การส่งออกสินค้าขั้นกลางไปยังประเทศที่โดนกำแพงภาษีอาจชะลอตัวลง โดยเฉพาะจีน 
  1. สินค้าจีนมีแนวโน้มทะลักเข้าไทย รวมถึงการแข่งขันกับสินค้าจีนที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งภายในและนอกประเทศ
  1. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นผลกระทบวงกว้างต่อธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออก และธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว
  1. อาจมีการชะลอการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตออกจากไทย เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง ทำให้กระทบภาคการผลิตและการส่งออกของไทย

ผลกระทบที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ:

  1. ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจะลดลง หากถูกเก็บภาษีตอบโต้สูงกว่าคู่แข่ง กลับกัน ถ้าโดนเก็บภาษีน้อยกว่าคู่แข่ง ความสามารถก็จะมากขึ้น
  1. การที่รัฐบาลไทยเปิดตลาดสินค้าบางประเภท เพื่อเจรจาลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ จะส่งผลดี หากสินค้านั้นๆ เป็นประเภทที่ไทยไม่สามารถผลิตเองและต้องนำเข้าอยู่แล้ว แต่จะส่งผลลบ หากเป็นสินค้าที่ไทยทำเองได้ หรือมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก 

ยานยนต์ ชิป เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าประมง และอีกหลายภาคส่วนเตรียมรับแรงกระแทกหนักๆ

fishing industry

แม้ว่าตอนนี้ อัตราภาษีที่แต่ละประเทศโดนจะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างแล้วหลังเจรจา แต่ถ้าอิงจากตัวเลขอัตราเดิม SCB EIC ก็เคยประเมินผลกระทบของธุรกิจแต่ละภาคส่วน โดยแบ่งเป็นระดับความรุนแรง 4 ด้าน ได้แก่

  1. การส่งออกไปสหรัฐฯ: พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ แค่ไหน? ภาษีศุลกากรตอบโต้เทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไร? และสามารถหาสินค้าทดแทนสหรัฐฯ หรือไม่?
  1. การส่งออกสินค้าขั้นกลางไปจีน: พึ่งพาตลาดจีนแค่ไหน? และสินค้าขั้นปลายของจีนพึ่งพาสหรัฐฯ แค่ไหน?
  1. ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้าไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมคือเท่าไร? และการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าจากจีนมีแค่ไหน?
  1. เศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว: พึ่งพารายได้จากตลาดโลกแค่ไหน? และลักษณะของสินค้าเป็นสินค้าจำเป็นหรือไม่?

จากการประเมินนี้ SCB EIC พบว่าธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ จำแนกความรุนแรงเป็น 3 ระดับประกอบด้วย

ผลกระทบสูง (High Impact)
  • ชิ้นส่วนยานยนต์/จักรยานยนต์
  • เซมิคอนดักเตอร์
  • คอมพิวเตอร์, HDD
  • ผลิตภัณฑ์พลาสติก
  • เหล็ก
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • อุปกรณ์สื่อสาร
  • แผ่นวงจรพิมพ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟ/สายเคเบิล
  • ยางพาราและไม้ยางพารา
  • สินค้าประมง โดยเฉพาะกุ้ง
  • สิ่งทอ
  • แผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบ
  • ถุงมือยาง
ผลกระทบปานกลาง (Moderate Impact)
  • มันสำปะหลัง น้ำตาล ปาล์มน้ำมัน
  • ผักผลไม้สด/แปรรูป
  • สินค้าปศุสัตว์และเนื้อสัตว์
  • อาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป
  • ยานยนต์และยางล้อ
  • เม็ดพลาสติก
  • อาหารสัตว์เลี้ยง
  • อาหารปศุสัตว์
  • บรรจุภัณฑ์โลหะและกระดาษ
ผลกระทบต่ำ (Low Impact)
  • ข้าว
  • นมและผลิตภัณฑ์นม
  • เครื่องดื่ม

นอกจากภาคการผลิตแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย

  1. นิคมอุตสาหกรรม เจอผลกระทบทางอ้อม จากการชะลอตัวของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งพวกเขาต้องรอความชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุนในช่วงที่นโยบายกำแพงภาษี ยังผันผวนอยู่ ขณะเดียวกันก็อาจได้ประโยชน์จากสงครามการค้าเมกา-จีน ที่จะกระจายฐานการผลิตเข้ามาไทยมากขึ้น
  1. ธุรกิจโลจิสติกส์ ได้รับผลกระทบทางตรงค่อนข้างสูง จากปริมาณการขนส่งสินค้าที่อาจลดลงในเส้นทางส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่วนผลกระทบทางอ้อมอยู่ระดับปานกลาง จากการลดลงของปริมาณการส่งสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางของไทยไปจีน 

SCB EIC แนะนำ ‘4Ps’ แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย

จากผลกระทบทั้งหมด ตอนนี้ ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัว เพื่อรับแรงกดดัน โดย SCB EIC ได้แนะนำกลยุทธ์ ‘4Ps’ ประกอบด้วย

  1. Product พัฒนาผลิตภัณฑ์: เน้นพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้มากที่สุด รวมถึงสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด และพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อหนีคู่แข่ง พร้อมลดการแข่งขันด้านราคา
  1. Place กระจายตลาด: ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และให้ความสำคัญกับการกระจายไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น จีน อินเดีย EU และตะวันออกกลาง รวมถึงรู้จักใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี FTA ควบคู่ไปกับการสร้างตลาดภายในประเทศ
  1. Preparedness รับมือความเสี่ยง: ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง เจ้าของธุรกิจต้องเตรียมพร้อมกับความเสี่ยงในทุกมิติ ประกอบกับการดูแลงบดุลและกระแสเงินสดให้พร้อมอยู่เสมอ รวมถึงเตรียมกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว 
  1. Productivity เพิ่มประสิทธิภาพ: เมื่อต้นทุนการค้าสูงขึ้น ขณะที่แต่ละประเทศก็แข่งขันกันหนักขึ้นเช่นกัน ทางรอดของผู้ประกอบการคือต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและองค์กร เช่น เอาเทคโนโลยีมาใช้ พัฒนาศักยภาพแรงงาน โดยธุรกิจอาจมองหาโอกาสเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอื่นๆ เพื่อถ่ายทอดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตระยะยาวได้

SCB EIC เตือนว่า นโยบายนี้ของ Trump ไม่ใช่แค่ ‘ปัญหาเฉพาะหน้า’ ของผู้ประกอบการไทย แต่คือ ‘สัญญาณเตือน’ ว่าระบบการค้าโลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน

วันนี้ อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของไทยสิ้นสุดอยู่ที่ 19% แล้วหลังจากลุ้นกันอยู่นาน และนี่คือโจทย์ใหม่ที่ธุรกิจไทยต้องหาทางรับมือ เพื่อยืนหยัดในระบบการค้าโลกที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป

ที่มา: SCB EIC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา