สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับไทย-กัมพูชา หลังทรัมป์กดดันให้หยุดยิง ด้านรมว. คลังไทย บอกยังไม่รู้อัตราภาษี รอฟังผลภายใน 24 ชม.

‘สหรัฐฯ’ บรรลุข้อตกลงการค้ากับ ‘ไทย’ และ ‘กัมพูชา’ หลังสองประเทศทำข้อตกลงหยุดยิงจากเหตุปะทะบริเวณชายแดน โดยได้รับแรงกดดันจากประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้ยุติความรุนแรงก่อนเปิดโต๊ะเจรจา

ก่อนหน้านี้ ไทยและกัมพูชากำลังจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เริ่มวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านใน ‘อาเซียน’ อย่างเวียดนาม (20%) อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (19%) เห็นได้ชัด

‘ทรัมป์’ ขู่ว่าสหรัฐฯ จะไม่คุยเรื่องการค้าจนกว่าจะหยุดสู้กัน และเมื่อทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ‘ทรัมป์’ จึงโทรหาผู้นำไทยและกัมพูชา พร้อมสั่งทีมงานเดินหน้าเจรจาต่อทันที

ล่าสุดรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ‘ฮาวเวิร์ด ลัทนิค’ ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่าสหรัฐฯ ได้ดีลกับทั้งสองประเทศแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ขณะที่ฝั่งกัมพูชา รองนายกรัฐมนตรี ‘ซุน จันทอล’ ระบุว่ายังไม่ได้รับแจ้งถึงข้อตกลงใหม่แต่อย่างใด

ฝั่งไทยเร่งต่อรองอย่างหนัก โดยเสนอเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาได้ 90% ลดดุลการค้าลง 70% ภายใน 3 ปี และควบคุมการส่งออกสินค้าจากประเทศที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน หวังให้ภาษีสุดท้ายอยู่ในกรอบ 18–20%

ซึ่ง ‘พิชัย ชุณหวชิร’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า ขณะนี้ไทยยังไม่ได้รับแจ้งผลอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ แต่คาดว่าจะรู้ผลภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมย้ำว่าทีมเจรจาของไทยทำงานเต็มที่ วิเคราะห์ข้อเรียกร้องจากสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน และไม่เคยประนีประนอมง่ายๆ ทุกการตัดสินใจผ่านกระบวนการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ

การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมประมาณ 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปีที่ผ่านมา คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด หากถูกเก็บภาษี 36% จริง อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

ดีลกับไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงที่ ‘ทรัมป์’ เดินเกมเจรจาการค้าเข้มข้น โดยเพิ่งประกาศขึ้นภาษีอินเดีย 25% พร้อมบทลงโทษเพิ่มเติม และบรรลุข้อตกลงกับเกาหลีใต้เมื่อเช้านี้ที่ 15%

นอกจากนี้ ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปิดดีลกับสหรัฐฯ แล้ว ได้แก่ สหราชอาณาจักร (10%) ญี่ปุ่น (15%) สหภาพยุโรป (15%) แคนาดา (35%) เม็กซิโก (30%) และออสเตรเลีย (10%)

ทั้งนี้ ภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้นโยบาย Reciprocal Tariff จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) หลังจากถูกเลื่อนมาแล้วสองครั้ง โดยสถานการณ์ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก

ที่มา: Bloomberg, CNBC, พิชัย ชุณหวชิร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา