ลอรีอัล กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญ พัฒนาเทคโนโลยีผสานความยั่งยืน ขับเคลื่อนอนาคตความงามระดับโลก

ลอรีอัล กรุ๊ป คือยักษ์ใหญ่ในวงการความงามระดับโลก ได้ประกาศความสำเร็จด้วยยอดขายสุทธิกว่า 4.34 หมื่นล้านยูโร ด้วยแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอเกือบ 40 แบรนด์ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย

สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของลอรีอัล กรุ๊ป คือการ Transform องค์กรในทุกมิติเพื่อให้กับเข้ายุคสมัยและเทคโนโลยี สนองตอบความต้องการของผู้บริโภค พนักงานและสังคมโดยรวม และย้ำภาพการเป็นผู้นำในแวดวงความงาม ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจว่า ลอรีอัล จะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมี 3 เสาหลักสำคัญที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ นวัตกรรมความงาม, ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ การปรับกระบวนการทำงานภายในองค์กร

นวัตกรรม Beauty Tech เพื่อความงามแห่งอนาคต

ลอรีอัล มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแต่ละบุคคล รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และได้ประกาศเป็นผู้นำในโลกของ Beauty Tech อย่างเต็มตัว ด้วยการใช้เทคโนโลยี อาทิ AI, data, เครื่องจักกลอัตโนมัติ, เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ, นาโนเทคโนโลยี, เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะผสมผสานเข้ากับศาสตร์แห่งความงาม เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับผู้บริโภค

โดยล่าสุด ลอรีอัล ได้บุกเบิกพรมแดนใหม่แห่งความงาม ด้วยศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ยืนยาวแบบบูรณาการเอกสิทธิ์เฉพาะของลอรีอัล (L’Oréal Longevity Integrative Science) เพื่อมุ่งค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคตในสาขาการชะลอวัย

ลอรีอัล มีนวัตกรรมที่ทันสมัยและน่าสนใจมาสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคมากมาย อาทิ

  • Cell BioPrint (เซลล์ไบโอพรินต์) Beauty Tech ตัวล่าสุดจากลอรีอัล กรุ๊ป ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน CES เมื่อต้นปี สามารถวิเคราะห์ผิวส่วนบุคคลโดยใช้โปรติโอมิกส์ขั้นสูง และใช้เทคโนโลยี “แล็บออนอะชิป” เพื่อวิเคราะห์สารบ่งชี้ทางชีวภาพของผิว พร้อมมอบคำแนะนำเฉพาะบุคคล รวมถึงการใช้ส่วนผสมสำคัญ เช่น เรตินอล อย่างเหมาะสม
  • L’Oréal Paris Beauty Genius (ลอรีอัล ปารีส บิวตี้ จีเนียส) 
  • ผู้ช่วยความงามส่วนตัวเสมือนจริง ขับเคลื่อนด้วย AI และ Generative AI มอบคำแนะนำด้านความงาม การวินิจฉัย และคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง 
  • Kiehl’s Derma-Reader (คีลส์ เดอร์มา-รีดเดอร์) เครื่องตรวจประเมินสภาพผิวทั้งชั้นนอกและชั้นในด้วยเทคโนโลยี tri-polar light วิเคราะห์คุณลักษณะผิวได้ 11 รายการ
  • L’Oréal Professionnel AirLight Pro (ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล แอร์ไลท์ โปร) เครื่องเป่าผมจากแบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อช่างผมมืออาชีพ ครั้งแรกในการผสานแสงอินฟราเรดเข้ากับลมความเร็วสูง เพื่อทำให้ผมแห้งไวขึ้น พร้อมรักษาคุณภาพของเส้นผม และใช้พลังงานน้อยลงถึง 31%

ผสานพลังวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ กับ Green Sciences

Green Sciences เป็นศาสตร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมของลอรีอัล เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย โดยลอรีอัลได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพ สถาบันวิจัย และซัพพลายเออร์ชั้นนำทั่วโลก อาทิ Interstellar Lab ที่นำ AI มาใช้ในการพัฒนาการเกษตรแนวใหม่ Microphyt ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสาหร่ายขนาดเล็ก Abolis Biotechnologies และ Evonik เพื่อคิดค้นส่วนผสมที่ดีที่สุด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผลิตภัณฑ์

เร่งการเติบโตทางธุรกิจด้วย E-commerce 

ในด้านการตลาด ลอรีอัล ให้ความสำคัญกับ Omnichannel โดยผลักดัน E-commerce มาโดยตลอดไปพร้อมๆ กับการเติบโตส่วนห้างร้าน โดยสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เข้าถึงลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีไม่มีข้อจำกัด แม้ไม่มีเครือข่ายจัดจำหน่ายในพื้นที่

สัดส่วนยอดขายจาก E-commerce ในปี 2024 สูงถึง 1.2 หมื่นล้านยูโร จากปี 2015 ที่มียอดขาย 1.3 พันล้านยูโร  แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของลอรีอัลได้เป็นอย่างดี

รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืน

ลอรีอัล ได้ดำเนินโครงการ L’Oréal for the Future เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นสำคัญ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับปี 2030 เพื่อวัดผลในหลายด้าน ได้แก่

  • ลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้ง scope 1, 2 และ 3  และมีเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในทุกสถานที่ปฏิบัติงานทั่วโลก 
  • ปกป้องธรรมชาติ: ให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบสำหรับสูตรและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน และเน้นใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในสูตรให้ได้  75%
  • ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน: มรออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้พลาสติกใหม่ 50% เน้นใช้วัตถุดิบชีวภาพหรือรีไซเคิล รวมเพื่อถึงลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 

ในมิติทางสังคม ลอรีอัลให้ความสำคัญกับ การสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับผู้ด้อยโอกาส การสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิง การดูแลให้ซัพพลายเออร์จ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม รวมถึงโครงการ Beauty for a Better Life ที่ช่วยสร้างอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในชุมชนผ่านการฝึกอบรมด้านเสริมสวยในหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น สงขลา และศรีสะเกษ

ยกระดับกระบวนการทำงานภายใน สร้างวัฒนธรรมองค์กร ส่งเสริมการเติบโต

การสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนต้องเริ่มต้นจากภายใน ลอรีอัล จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร โครงสร้างและกระบวนการทำงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตอบโจทย์คนทุกยุคทุกวัย และส่งเสริมให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • วัฒนธรรมองค์กร: มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สร้างแรงบันดาลใจ มีเป้าหมาย และให้โอกาสโดยไม่แบ่งแยก โดยให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นศูนย์กลาง
  • การทำงานแบบยืดหยุ่น: สนับสนุนการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Working) เพื่อให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงาน และนโยบายภายในเพื่อสนับสนุนการใช้เวลาสำหรับการทำงานที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เวลาส่วนตัวให้สมดุลย์ เช่น การไม่ประชุมในเช้าวันจันทร์ ลดจำนวนการประชุม รวมถึง จำกัดการติดต่องานในวันหยุดและนอกเวลางาน
  • การพัฒนาทักษะ: มุ่งมั่นพัฒนาทักษะของพนักงานให้เท่าทันเทคโนโลยี โดยมีคอร์สฝึกอบรมและเทรนนิงต่าง ๆ ให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดหาเครื่องมือให้พนักงานได้ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

บทสรุป: ลอรีอัล กรุ๊ป องค์กรที่ขับเคลื่อนความงามด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน

ด้วยความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในทุกมิติ ทำให้ลอรีอัลได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 8 นายจ้างที่น่าสนใจที่สุดในโลก และลอรีอัล ประเทศไทย ยังได้รับรางวัล The Most Future Brand และ The Most Attractive Employer for Employee Under 35 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

การทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดความงามระดับโลก แต่ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าในการผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงามอย่างลงตัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนอนาคตของวงการความงามที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่กลุ่มและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกอย่างแท้จริง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา