ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจแบบนี้ แต่ ‘สลัดแฟคทอรี่’ ยังคงไม่หวั่น ตั้งเป้าสร้างยอดขายเติบโต 20% จากปีก่อนหน้า แม้คู่แข่งจะผุดเป็นดอกเห็ดจากอดีตนับนิ้วได้ ตอนนี้ทะลุแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพในไทยทะลุ 20 แบรนด์ไปแล้ว
Brand Inside มีโอกาสได้คุยกับ ‘ปิยะ ดั่นคุ้ม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่ ผู้บริหารร้าน Salad Factory แบรนด์ร้านอาหารสุขภาพสำหรับครอบครัวที่ตอนนี้มีสาขามากกว่า 50 สาขาทั่วไป
‘ปิยะ’ เริ่มเล่าสถานการณ์ของวงการอาหารสุขภาพไทยว่า ตอนนี้เทรนด์สุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยแล้ว โดยเฉพาะในเซกเมนต์ของ ‘ร้านอาหาร’ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากและมีคู่แข่งใหม่ๆ เข้ามาในตลาดจำนวนมาก โดยในปี 2564 มีร้านอาหารสุขภาพในไทยไม่เกิน 10 แบรนด์เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพในไทยเกิน 20 แบรนด์ไปแล้ว
ทำให้ตลาดรัานดอาหารสุขภาพเติบโตหลายเท่าจาก 1,600 ล้านบาทในปี 2564 มาเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2565 ต่อจากนั้นก็เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 10-20% กลายเป็น 4,500 ล้านบาทในปีที่แล้ว และคาดว่าจะกลายเป็น 5,200 ล้านบาทภายในปีนี้
โดย ‘ปิยะ’ เชื่อว่ายังไงในปี 2568 ตลาดอาหารสุขภาพจะเติบโตมากกว่าตลาดอาหารในภาพรวม ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่รายใหญ่และรายย่อยจะเข้ามาในตลาดเพิ่มอีก โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนเมือง คนรุ่นใหม่ Gen Z คนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ไปจนถึงคนที่มีภาวะแพ้อาหาร
สำหรับ Salad Factory ในปีที่ผ่านมามีรายได้ 736 ล้านบาท เติบโต 24% จากปีที่ผ่านมา และมีกำไร 28 ล้านบาท เติบโต 43% เช่นเดียวกัน ‘ปิยะ’ ระบุว่า สถานการณ์ในไตรมาส 1 ยังถือว่าพอใช้ได้ในภาพรวม เพราะอานิสงส์ของเทศกาลจากช่วงปลายปี ขณะที่ไตรมาส 2 เจอสถานการณ์แผ่นดินไหวและข่าวต่างๆ ส่งอิมแพ็คบ้างเล็กน้อย แต่เห็นแนวโน้มดีขึ้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน
นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายต่อคนของลูกค้าอยู่ระหว่าง 200-300 บาท เติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ซึ่งผู้บริหารของ Salad Factory บอกว่า บริษัทไม่ได้เน้นเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนของลูกค้ามากเท่ากับเพิ่มความถี่ในการมารับประทานของลูกค้า เรียกว่า “อยากให้ลูกค้าเข้าร้านเรามากขึ้น บ่อยขึ้น ถี่ขึ้นมากกว่า” และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น จากตอนนี้ความถี่ของลูกค้าทั่วไปจะเข้าร้าน Salad Factory สัปดาห์ 2-3 ครั้ง ถ้าลูกค้าประจำก็อาจจะบ่อยกว่านั้น
มุมมองเรื่องเศรษฐกิจไทย ‘ปิยะ’ บอกว่า เราเห็นตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ มาเป็นระยะๆ ในมุมของเรา เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยหลักทั้งหมด เพราะหลังจากโควิด-19 สถานการณ์ก็ยากทุกปี แต่ก็จะมีบางร้านที่มีเพอร์ฟอร์มดีและมีบางร้านที่เพอร์ฟอร์มไม่ดีในช่วงเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ Salad Factory โฟกัสคือตอนนี้หลายคนมองว่าอาหารสุขภาพมักจะราคาสูงหรือราคาแพง จึงอยากจะทำให้ราคาเข้าถึงง่าย จริงใจ และกินได้บ่อยที่สุด “เพราะอาหารสุขภาพจะเอฟเฟคทีฟสูงสุดได้จะต้องทานบ่อยที่สุด” ไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าอาหารสุขภาพมีแต่ผักแต่หญ้าและทานยาก แต่อยากให้รู้สึกว่าอร่อยและทานง่าย
อย่างเช่นล่าสุดที่ได้เปิดตัวเมนูใหม่ในคอนเซปต์ ‘อกไก่ฉ่ำ So Yummy’ ที่ร่วมมือกับ S Pure หลังจากปีก่อนประสบความสำเร็จ สร้างยอดขายเพิ่มมากถึง 200% รอบนี้มาพร้อมกับเมนูอกไก่ที่ออกแบบสไตล์ Japanese Twist อย่างเช่น คัตสึอกไก่ซอสนากาโนะมิโซะ สลัดครันชี่อโวคาโดอกไก่ย่าง สปาเก็ตตีเมนไทโกะอกไก่ย่างมิโซะ เป็นต้น
ท่ามกลางคู่แข่งมากมายที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดที่มีตั้งแต่อาหารสุขภาพสไตล์พรีเมี่ยม สไตล์วีแกน สไตล์คลีน สไตล์เร่งด่วน และอื่นๆ อีกมากมาย Salad Factory บอกว่า 3 จุดแข็งของแบรนด์ที่ทำให้สามารถเติบโตโดดเด่นได้ในตลาด ประกอบด้วย
- เมนูหลากหลาย รับประทานได้ในทุกกลุ่ม พยายามเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเมนูสลัด สเต็ก สปาเก็ตตี้ รวมกกว่า 300 เมนู
- เข้าถึงง่าย ราคาเป็นราคาสุทธิแล้ว ไม่มีเซอร์วิสชาร์จ ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงมีบรรยากาศสบายๆ เหมาะทั้งกับมื้อง่ายๆ และมื้อกึ่งทางการ
- ไม่ต่อรองเรื่องคุณภาพอาหาร ยืนหยัดในการทำอาหารสุขภาพที่อร่อยด้วย
ปัจจุบัน Salad Factory มีสาขามากกว่า 50 สาขา ส่วนใหญ่เป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็น ผู้บริหารของ Salad Factiry คาดว่าจบปีนี้จะมีสาขารวม 54 สาขา ขณะที่รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านอาหารเช่น ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายน้ำสลัดเองก็กำลังเติบโตได้ดี
ในปีนี้บริษัทจึงตั้งเป้าเติบโต 20% จากปีก่อน หรือทะลุ 880 ล้านบาทในปีนี้
- ขาย ‘ข้าวกล่อง’ จนรายได้ 600 ล้าน กว่าจะมีวันนี้เจ้าของ White Story ใช้เวลาถึง 16 ปี
- YOLK ทาร์ตไข่สัญชาติไทย ขายได้เดือนละ 1 แสนชิ้น ที่อาจโตทะลุ 100 ล้านบาทตั้งแต่ปีแรก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา