เป็นเรื่องช็อกของบริษัทน้ำมันทั่วโลกเลยทีเดียว เมื่อกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ได้ประกาศออกมาเป็นทางการว่ากำลังเตรียมตัวที่จะขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุนออกทั้งหมด โดยให้ความเห็นว่าเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับความมั่งคั่งของประเทศเวลาราคาน้ำมันผันผวน
“มุมมองของเรานั้นต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงของตัวกองทุน” และ “แต่เราสามารถทำได้ดีกว่านั้นถ้าไม่นำความเสี่ยงจากราคาน้ำมันเข้ามาในกองทุนของเรา” นี่เป็นคำพูดของ Egil Matsen รองประธานธนาคารกลางของนอร์เวย์ ซึ่งดูแลกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ซึ่งมีพอร์ตการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือหุ้นประมาณ 1.5% ของทั้งโลก โดยที่ 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่โดนกันถ้วนหน้า
อ้างอิงจากข้อมูลการลงทุนของตัวกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์เองในปี 2016 และจาก Bloomberg นั้น มีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ตัวกองทุนเองนั้นเน้นการลงทุนไว้มากเป็นพิเศษดังนี้
- Royal Dutch Shell มูลค่า 5,361 ล้านเหรียญสหรัฐ
- Exxon Mobil มูลค่า 3,065 ล้านเหรียญสหรัฐ
- Chevron มูลค่า 2,040 ล้านเหรียญสหรัฐ
- BP มูลค่า 2,028 ล้านเหรียญสหรัฐ
- Total มูลค่า 2,017 ล้านเหรียญสหรัฐ
รวมไปถึงกองทุนยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Statoil ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในนอร์เวย์มูลค่า 66,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยถือหุ้น 65.8% แต่ทางกองทุนอาจไม่ได้ขายหุ้นออกมา
บริษัทน้ำมันไทยโดนด้วย
กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์เองได้ลงทุนในหุ้นบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยปีที่ผ่านมามูลค่าของการลงทุนในไทยนั้นสูงถึงประมาณ 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าเป็นส่วนของบริษัทน้ำมันในประเทศไทยนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 207 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ลงทุนมากที่สุดคือ ปตท. อยู่ที่ 79 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือถือหุ้น 0.27%
นี่คือเทรนด์ของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ
ไม่ใช่แค่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์พยายามจะลดสัดส่วนบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่หลายๆ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินั้นพยายามลดสัดส่วนนี้ลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง Temasek เองนั้นเคยลงทุนใน Repsol ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสเปนโดยถือหุ้นช่วงปี 2015-2016 ถึง 7% แต่ปัจจุบันนี้ถือหุ้นเพียงแค่ 4% เท่านั้น หรือแม้แต่ GIC ที่ล่าสุดนั้นได้ไปลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้น
ที่มา – Bloomberg, Financial Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา