Bank of New York Mellon ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่นัก แต่ถ้ากล่าวถึงเจ้าของ ETF ชื่อดังอย่าง SPDR Gold ที่นักลงทุนชาวไทยคุ้นเคยอาจต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที เนื่องด้วยลักษณะโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนของ Bank of New York Mellon ซึ่งในแต่ละส่วนไม่เหมือนกันในอดีต แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
การลงทุนในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก เทคโนโลยีก็เข้ามามีส่วนเสริมในการลงทุน ดังนั้น Bank of New York Mellon จึงควบรวมหน่วยงานภายในที่บริหารจัดการกองทุนเข้าด้วยกัน ซึ่งสามหน่วยงานภายในนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการถึง 560,000 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยหน่วยงานที่จะควบรวมกันนั้นมี
- Mellon Capital Management บริหารจัดการกองทุนแนว Passive Investment
- Standish Mellon Asset Management บริหารจัดการกองทุนที่เน้นไปทางตราสารหนี้
- The Boston Company Asset Management บริหารจัดการกองทุนแนว Active Investment
โดยการควบรวมกิจการนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายเช่นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ค่าใช้จ่ายสำหรับบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ฯลฯ นั้นลดลง เพราะถือว่าใช้ข้อมูลร่วมกัน
นอกจากนั้นยังเปลี่ยน CEO คนใหม่ด้วย
โดย Charles Scharf ซึ่งเป็นอดีต CEO ของ Visa นั้นจะมาเป็น CEO คนใหม่ของ Bank of New York Mellon โดยจะเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรใหม่โดยแบ่งเป็นสามส่วนได้แก่แผนกชำระราคา แผนกตลาดทุน และแผนกจัดการกองทุน ซึ่งทำให้องค์กรนั้นดูแบนราบลง ซึ่ง CEO คนเก่า Gerald Hassell นั้นพยายามลดค่าใช้จ่ายของ Bank of New York Mellon ลงอย่างมหาศาล
คู่แข่งนั้นควบรวมกิจการ Bank of New York Mellon ก็ต้องปรับตัว
การแข่งขันระหว่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทั่วโลกนั้นเริ่มจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีการควบรวมกิจการระหว่างกัน ยกตัวอย่างรายที่น่าสนใจเช่น Standard Life นั้นควบรวมกิจการกับ Aberdeen กลายเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนฝั่ง Active Investment ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ส่วนอีกราย Henderson ควบรวมกับ Janus ซึ่งมี Bill Gross ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ผู้เก่งกาจนำทัพ ฉะนั้น Bank of New York Mellon ก็ต้องปรับตัวอย่างหนักเช่นกัน
ที่มา – Bloomberg, Financial Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา