Harvard ยังไม่รอด ทรัมป์ตัดงบเพราะไม่เชื่อฟัง มหาลัยโต้ “อยากควบคุมคนฉลาดล่ะสิ”

พ่อใหญ่ Trump เอาอีกแล้ว ขนาด ‘Harvard’ ยังไม่รอด สงสัยต้องขี่ไม้กวาดไปเรียน Hogwarts แทนละมั้ง

trump harvard

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศระงับงบสนับสนุนมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard กว่า 7.3 หมื่นล้านบาท (2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หลังจากสถาบันปฏิเสธที่จะทำตามคำขอของรัฐบาล

นับเป็นครั้งที่ 7 แล้วที่ประธานาธิบดี Trump พยายามเอาเรื่องกับมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของชาติ เพียงเพราะสถาบันมีมุมมองขัดแย้งกับวิสัยทัศน์ตน 

โดยสถาบันแรกที่ Trump เล็งเป้าไว้คือ Columbia University ซึ่งทางสถาบันก็ยอมทำตามข้อเรียกร้อง เนื่องจากกลัวโดนตัดงบ ขณะที่ University of Pennsylvania, Brown, Princeton, Cornell และ Northwestern โดนระงับเงินสนับสนุนไปเป็นที่เรียบร้อย

มาดูกันดีกว่ารอบนี้ Trump ต้องการอะไรจาก Harvard?

ความหลากหลายไม่สำคัญ กำจัดนักกิจกรรม ใครสนับสนุนปาเลสไตน์ก็ออกไป

Donal Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ภาพจาก The White House

ต้นตอของการระงับเงินทุน สืบเนื่องมาจากจดหมายของ Trump ที่ส่งให้ Harvard ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยมีคำขอถึง 10 ข้อได้แก่

  1. ปรับโครงสร้างการปกครอง: Harvard ต้องปรับแนวทางการปกครอง โดยลดอำนาจของนักศึกษา บุคลากรที่ไม่มีตำแหน่งประจำ รวมถึงบุคลากรที่สนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง แล้วเพิ่มอำนาจให้กับศาสตราจารย์และบุคลากรระดับอาวุโสให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  1. จ้างคนตามผลงาน: Harvard ต้องว่าจ้างบุคลากรตามความสามารถ โดยไม่สนใจเชื้อชาติ สีผิว สัญชาติ ศาสนา เพศ หรืออื่นๆ ตลอดการรับสมัครยันการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงควรตรวจสอบการขโมยผลงานทางวิชาการของบุคลากรปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ก็ต้องส่งให้รัฐบาลตรวจสอบด้วย
  1. รับนักศึกษาเข้าเรียนตามผลงาน: Harvard ต้องรับนักศึกษาตามผลงานของนักเรียนเท่านั้น โดยไม่สนใจเชื้อชาติ สีผิว สัญชาติ หรืออื่นๆ ในทุกหลักสูตร พร้อมแชร์ข้อมูลการตอบรับการเข้าเรียนให้รัฐบาลเห็นและตรวจสอบ 
  1. ปรับนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติ: Harvard ต้องแก้ไขนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติ เพื่อที่จะไม่เผลอรับเด็กที่มีคุณลักษณะขัดกับค่านิยมของอเมริกา และเมื่อไรก็ตามที่นักศึกษาต่างชาติ ไม่ว่าจะถือวีซ่านักเรียนหรือกรีนการ์ด มีความประพฤติขัดต่อกฎระเบียบ ทางสถาบันต้องแจ้งกระทรวงความมั่นคงทันที
  1. ปรับนโยบายการจ้างงาน เน้นมุมมองที่หลากหลาย: Harvard ต้องทำการตรวจสอบทุกหน่วยงานในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่คณะกรรมการนักศึกษายันบุคลากรว่ามีมุมมองที่หลากหลายหรือไม่ และหากหน่วยงานไหนขาดความหลากหลายเชิงนี้ ทางสถาบันจะต้องปรับโครงสร้างแล้วจ้างคนใหม่จำนวนมากเพื่อเพิ่มความแตกต่างทางความคิด
  1. ปรับโครงสร้างโครงการที่สนับสนุนการต่อต้านชาวยิวหรือมีความลำเอียง: Harvard ต้องตรวจสอบทุกชมรมและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านยิวหรือสะท้อนแนวคิดทำนองนั้น รวมถึงรายงานบุคคลที่แสดงความเกลียดชังต่อชาวยิวหรือคนอิสราเอลด้วย
  1. ยกเลิก DEI (Diversity, Equity & Inclusion – ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม): Harvard ต้องยกเลิกทุกโครงการ นโยบาย และตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ DEI ในทันที รวมถึงส่งรายงานมายืนยันการปรับโครงสร้างทั้งหมดให้รัฐบาลอ่าน
  1. ปรับกฎระเบียบและบทลงโทษนักศึกษา: Harvard ต้องปรับระเบียบวินัยของนักศึกษาในทันที โดยทุกคนควรได้รับบทลงโทษอย่างเท่าเทียม ไม่ลำเอียงตามตัวตนหรือแนวคิด รวมถึงห้ามไม่ให้มีชมรมไหนที่สนับสนุนอาชญากรรมหรือการกระทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น และยกเลิกชมรมที่สนับสนุนการต่อต้านยิว เช่น Harvard Palestine Solidarity Committee หรือ Law Students 4 Palestine 
  1. จัดตั้งระบบการแจ้งเบาะแส: Harvard ต้องจัดตั้งแนวทางรายงานคนที่ละเมิดกฎใดๆ ก็ตามในจดหมายฉบับนี้ หากใครพบเห็นการกระทำที่ขัดต่อข้อเรียกร้องของรัฐบาล จะต้องแจ้งผู้บริหารสถาบันและรัฐบาลทันที
  1. ระบบต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้: Harvard ต้องปรับองค์กรให้โปร่งใสและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมากกว่านี้ รวมถึงเปิดเผยเอกสาร อาทิ จุดประสงค์และแหล่งที่มาของกองทุนต่างชาติ เส้นทางการเงินของกองทุนต่างชาติ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ให้รัฐบาลเห็น

รัฐบาลเผยว่า หาก Harvard ไม่ตอบรับข้อเรียกร้องที่กล่าวไปทั้งหมด เงินสนับสนุนเกือบๆ 3 แสนล้านบาท (9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อาจถูกตัดไปโดยปริยาย

Trump ไม่ได้แคร์คนยิวหรอก แค่อยากควบคุมคนฉลาดๆ ในประเทศเท่านั้น

Harvard
‘Alan Garber’ ประธานกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย Harvard (ภาพจากเว็บไซต์ Harvard)

แน่นอนว่า ถ้า Harvard ทำตามคำขอของ Trump ดีๆ ก็คงไม่เกิดบทความนี้ขึ้นมา 

‘Alan Garber’ ประธานกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย Harvard ตอกกลับว่า 

“ทางมหาวิทยาลัยจะไม่ยอมละทิ้งเสรีภาพและสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน มันไม่ควรมีรัฐบาลไหน ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม ที่สามารถใช้อำนาจเผด็จการมาชี้นิ้วสั่งมหาวิทยาลัยเอกชนว่าควรสอนอะไร ตอบรับใคร ว่าจ้างใคร หรือตั้งหลักสูตรอะไรได้บ้าง”

หลังจาก Garber ตอบไปอย่างนั้น รัฐบาลก็แช่แข็งเงินทุน Harvard นับพันล้านเหรียญภายในไม่กี่ชั่วโมง

Garber มองว่า สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเหยียดชาวยิวหรอก แต่เป็นความต้องการควบคุมมันสมองของประเทศอย่าง Harvard มากกว่า

การที่รัฐบาลแช่แข็งงบของ Harvard ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์และการแพทย์แบบนี้ “นอกจากจะทำให้สุขภาพของคนนับล้านต้องตกอยู่ในความเสี่ยงแล้ว ยังทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย” Garber กล่าว

ยังไม่พอ การกระทำของ Trump ยังละเมิด ‘First Amendment’ ของสหรัฐฯ ว่าด้วยเรื่องการห้ามไม่ให้รัฐบาลสร้างกฎหมายที่ไม่เคารพศาสนาหรือจำกัดเสรีภาพทุกแขนง แถมยังทำผิดต่ออำนาจของรัฐบาลที่ไม่ควรแบ่งแยกนักศึกษาตามเชื้อชาติ สีผิว หรือสัญชาติอีก

ฝั่งศิษย์เก่าของ Harvard ก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของ Trump จึงรวมตัวกันเขียนจดหมายส่งถึงประธานาธิบดีว่า 

“วันนี้ Harvard ได้ยืนหยัดในความซื่อสัตย์ คุณค่า และเสรีภาพของตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาระดับสูง โดย Harvard กำลังย้ำเตือนโลกให้รู้ว่า การเรียนรู้ นวัตกรรม การเปลี่ยนแปลง และการเติบโต จะไม่ตกเป็นทาสของการกลั่นแกล้งจากผู้มีอำนาจ”

ดื้อนัก เดี๋ยวก็ไม่ละเว้นภาษีให้เลย ตามสไตล์คนมีอำนาจ

Donald Trump ภาพจาก White House

ปกติแล้ว มหาวิทยาลัย รวมถึงองค์กรการกุศลและหน่วยงานทางศาสนาของสหรัฐฯ จะได้รับการละเว้นภาษี แต่เมื่อ Harvard ต่อต้าน Trump ก็โพสต์ลง X แพลตฟอร์มคู่ใจเลยว่า “สงสัยคงไม่ต้องละเว้นภาษีให้ Harvard ล่ะมั้ง แล้วให้มาจ่ายภาษีแบบหน่วยงานการเมืองแทน ถ้ายังดื้อที่จะซัพพอร์ตการเมือง แนวคิด และการก่อร้ายอยู่แบบนี้”

Trump ยังไปโพสต์ลง Truth Social ต่อว่า “จำไว้นะ สถานะการละเว้นภาษีเนี่ยมันได้มาเพราะการทำเพื่อส่วนรวม!”

หาก Harvard ถูกริบสถานะการละเว้นภาษีไป อาจทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องจ่ายภาษีนับล้านเหรียญต่อปีเลย

ล่าสุด โฆษกทำเนียบขาวยังออกมาให้สัมภาษณ์อีกว่า Trump ต้องการคำขอโทษจาก Harvard และ Harvard ก็ควรออกมาขอโทษจริงๆ นะ

ไม่แน่ใจว่าการเปิดศึกระหว่างพ่อใหญ่ Trump กับ Harvard จะจบลงอย่างไร แต่ถ้าเป็นคุณล่ะ คุณจะเข้าข้างประธานาธิบดีหรือมหาวิทยาลัยที่รวมหัวกะทิจากทุกมุมโลกไว้?

ที่มา: AP News, BBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา