ถ้าพูดถึงขนมขบเคี้ยว และขนมหวาน กลุ่มเป้าหมายที่นึกถึงก็คงไม่พ้นเด็ก แต่เมื่อประชากรในประเทศญี่ปุ่นนั้นแทบไม่มีเด็กเกิดใหม่ ทำให้ Glico (กูลิโกะ) และ Nestle ต่างปรับแผนธุรกิจ พร้อมทำขนมออกมาเจาะกลุ่มอื่นมากขึ้น
เพิ่มความ Premium เพื่อเจาะกลุ่มผู้ใหญ่
เริ่มต้นที่ยักษ์ใหญ่บิสกิตแท่งอบกรอบอย่าง Glico กันก่อน เพราะถึงตัวแบรนด์จะทำตลาดโดยใช้ดาราวัยรุ่นเป็นตัวสื่อไปถึงผู้บริโภค แต่สุดท้ายกลุ่มหลักที่รับประทานสินค้าก็ยังเป็นเด็กๆ อยู่ดี โดยเฉพาะกับ Pocky และ Pretz ที่ทำตลาดมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นเมื่อเด็กมีจำนวนน้อยลง ยักษ์ใหญ่ขนมรายนี้จึงเลือกไปทำตลาดกับกลุ่มผู้ใหญ่ ผ่านการส่งสินค้าระดับ Premium ภายใต้แบรนด์ Baton d’or ที่มีราคาเฉลี่ย 500 เยน/กล่อง และสูงกว่า Pocky และ Pretz ถึง 3 เท่าตัว เพราะคัดเลือกวัตถุดิบอย่างดี และปรุงรสให้เข้ากับลิ้นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ผู้ใหญ่หลายคนนั้นน่าจะผ่านช่วงกิน Pocky และเลือกซื้อ Baton d’or แทน เพราะเราไม่ต้องการให้ผู้บริโภคเบื่อที่จะรับประทานสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ และถึงจะออกรสใหม่ตามฤดูกาลต่างๆ ก็คงไม่ได้แก้ปัญหานี้นัก ดังนั้นการปฏิวัติวงการด้วยขนมขบเคี้ยวที่ตอบโจทย์ผู้ใหญ่โดยเฉพาะน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า” โฆษกของ Gligo กล่าว
นักท่องเที่ยวคืออีกเป้าหมายสำคัญของ KitKat
ฝั่งคู่แข่งอย่าง Nestle Japan ที่มีขนมบิสกิตเคลือบช็อคโกแลตแบรนด์ KitKat ก็เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น ผ่านการตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าตอบโจทย์กลุ่มนี้โดยเฉพาะ รวมถึงสร้างสินค้าใหม่ๆ ที่มีความ Premium มากขึ้นเช่นกัน เช่นรส Kinako ที่มีลักษณะเป็นผงถัั่วเหลืองโรยไว้ด้วย
สำหรับภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยว และขนมหวานในประเทศญี่ปุ่นนั้น ระหว่างปี 2555-2559 ยังเติบโตราว 10% ทุกปี ผ่านครัวเรือนที่อาศัย 2 คนขึ้นไปมีการจับจ่ายในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ แต่หลังจากนี้อาจไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะประชากรเกิดใหม่ลดลง และขนาดครัวเรือนเริ่มลดลงเหลือ 1 มากขึ้น
สรุป
ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยว และขนมหวานในประเทศไทยก็คงต้องปรับตัวเช่นกันในเร็ววันนี้ เพราะจำนวนประชากรเกิดใหม่ในไทยก็น้อยลงทุกวัน จึงเชื่อว่า อนาคตอันใกล้อาจเห็น “อาหารยอดคุณ” เจ้าของขนมอย่างคอร์นเน่ และโปเต้ ประกาศขนมที่เหมาะสมกับผู้ใหญ่รับประทานก็เป็นได้
อ้างอิง // Japan Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา