จะทำอยู่บ้านหรือเข้าออฟฟิศก็ไม่ต่าง ผลสำรวจบอก พนักงานหมดใจ เพราะ ‘ระบบบริษัท’ นั่นแหละ

#งานใหม่ใกล้ฉัน

ทุกคนหยุดเถียงกันได้แล้ว  ไม่ว่าคุณจะอยู่ทีม Work From Home หรือเข้าออฟฟิศ สุดท้าย คุณก็คงอยากลาออกอยู่ดี

work

หลังจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Amazon, Starbucks และ Dell เรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ก็เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ยกใหญ่ว่า การทำงานแบบไหนที่ดีต่อประสิทธิภาพองค์กรมากที่สุด?

‘McKinsey’ หนึ่งในบริษัท Big 3 วงการคอนซัลท์หาคำตอบมาให้แล้ว ผ่านการสอบถามพนักงานในสหรัฐฯ นับพันคน ทั้งที่ทำงานแบบ Hybrid, Work From Home และเข้าออฟฟิศ แถมยังครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างรูปแบบการทำงานกับประสิทธิภาพ

พอเดาได้ไหมว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร? 

McKinsey พบว่า มันไม่มีคำตอบไหนที่ถูกต้อง 100% เลยว่าการทำงานแบบไหนจะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดย 

  • 25% ของพนักงานที่เข้าออฟฟิศเชื่อว่าตนทำงานได้ดีเกินความคาดหวังหัวหน้า 
  • 15% ของพนักงานที่ทำงาน Hybrid เชื่อว่าตนทำงานได้ดีเกินความคาดหวังหัวหน้า 
  • 34% ของพนักงานที่เข้าออฟฟิศเห็นด้วยว่าตนเองทุ่มเทและตั้งใจทำงาน
  • 29% ของพนักงานที่ Work From Home เห็นด้วยว่าตนเองทุ่มเทและตั้งใจทำงาน
  • 28% ของพนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid เห็นด้วยว่าตนเองทุ่มเทและตั้งใจทำงาน

ถ้าคุณคิดว่าตัวเลขมันดูตกต่ำจนน่าแปลกใจแล้ว ที่ตลกไปกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะทำงานแบบเข้าออฟฟิศหรือทำที่บ้าน พนักงานก็ยังอยากลาออก หมดไฟ หมดใจ และไม่มีความสุขเท่าๆ กันหมด

มันเกิดอะไรขึ้น?

อยากลาออกเพราะ Burnout

จากผลสำรวจ McKinsey เผยว่า อัตราการ Burnout หรือหมดไฟของพนักงานนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดย

  • 36% ของพนักงานที่ Work From Home รู้สึกหมดไฟ
  • 35% ของพนักงานที่เข้าออฟฟิศรู้สึกหมดไฟ
  • 28% ของพนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid รู้สึกหมดไฟ

McKinsey บอกว่า ผู้นำทั้งหลายควรหาทางกำจัดภาวะหมดไฟได้แล้ว เพราะมันสูงกว่าอัตราที่คนเผชิญช่วงโควิดอีก

ที่สำคัญ ภาวะหมดไฟยังสามารถนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่อาจกระทบองค์กรได้ เช่น อยากลาออกมากขึ้น หรือทุ่มเทให้การงานน้อยลง

แต่จากผลสำรวจ เห็นเลยว่า ต่อให้พนักงานจะทำงานแบบไหน พวกเขาก็ยัง Burnout พอๆ กัน ดังนั้น มันต้องมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้บุคลากรหมดไฟมากกว่าเดิมแน่ๆ โดย McKinsey อธิบายว่า ภาวะหมดไฟมีความเชื่อมโยงกับประเด็นดังต่อไปนี้

  1. สภาพแวดล้อมในการทำงานเครียดเกินไป
  2. อัตราการทำงานร่วมกับผู้อื่นต่ำ
  3. อัตราการได้รับคำปรึกษาต่ำ
  4. ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประสบการณ์และการมีส่วนร่วมในการทำงาน

Burnout เพราะไม่มีความสุขกับรูปแบบการทำงานหรือเปล่า?

บางคนอาจสงสัยว่า ที่ระดับความเครียดในที่ทำงานมันสูงนั้น เป็นเพราะพนักงานดันได้ทำงานแบบที่ตัวเองไม่ชอบหรือเปล่า เช่น คนที่ชอบอยู่บ้านแต่โดนบังคับเข้าออฟฟิศทุกวัน หรือคนที่อยากพบปะเพื่อนร่วมงาน กลับต้องทำงานแบบ Work From Home

คำตอบคือเปล่าเลย เพราะ McKinsey เผยว่าเกือบๆ 80% ของผลสำรวจพึงพอใจกับรูปแบบการทำงานปัจจุบัน และมีเพียงส่วนน้อยมากๆ ที่อยากเปลี่ยนวิธีการทำงานของตน

อย่างไรก็ตาม พนักงานส่วนใหญ่ยังคงไม่มีความสุขกับการทำงานอยู่ดี โดยราวๆ 39% ของผลสำรวจอยากลาออก นับเป็นสัดส่วนที่สูงพอๆ กับช่วงโควิด (40%) เลย

ถ้ามาดูแบบเจาะลึกลงไปอีก จะเห็นว่า ต่อให้การทำงานจะเป็นรูปแบบไหน ความต้องการลาออกก็พอๆ กัน โดย

  • พนักงานที่เข้าออฟฟิศหรือทำงานแบบไฮบริดอยากลาออก 38%
  • พนักงานที่ Work From Home อยากลาออก 41%

ทั้งนี้ ผลสำรวจบอกว่า แม้พวกเขาจะพึงพอใจกับรูปแบบการทำงานของตนเองมากแค่ไหน แต่ก็มองว่ายังมีอีกหลายแง่มุมที่ต้องการการพัฒนา 

อย่าหาว่า McKinsey สอนเลยนะ แต่ปัญหาคือบริษัท ไม่ใช่การ Work From Home

Online Meeting

อ่านมาถึงตรงนี้ McKinsey คงต้องเฉลยแล้วว่า จริงๆ ปัญหาประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงความอยากลาออก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงานหรอก แต่เป็นระบบการจัดการของบริษัทต่างหาก

ตอนที่บริษัทพากันเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ผู้นำทั้งหลายต่างก็ให้เหตุผลว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทักษะในการทำงาน

McKinsey จึงลองเอา 5 เหตุผลยอดฮิตที่ผู้นำมักหยิบยกมาใช้ตอนที่ต้องการเรียกให้พนักงานเข้าออฟฟิศ มาให้ผู้ตอบแบบสำรวจประเมินดูว่า เห็นด้วยกับแต่ละหลักการมากน้อยแค่ไหน ประกอบไปด้วย

  1. การทำงานร่วมกัน : ต้องการให้คนในทีมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและทำได้ต่อเนื่อง เชื่อว่าวัฒนธรรมองค์กรมีผลต่อการทำงานร่วมกัน จะเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรได้ ต้องเข้าออฟฟิศ
  1. การสร้างคอนเนคชัน : ต้องการให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทีม หัวหน้า และผู้บริหาร รวมถึงรู้สึกร่วมไปกับเป้าหมายของบริษัท
  1. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ : เชื่อว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสนับสนุนให้กล้าที่จะลองผิดลองถูก นำไปสู่อะไรใหม่ๆ ในที่ทำงาน 
  1. การให้คำปรึกษาพนักงาน : เชื่อว่าถ้าเข้าออฟฟิศ องค์กรจะสามารถสนับสนุนและพัฒนาพนักงานได้ง่ายและหลากหลายขึ้น อย่างเช่นในการปฐมนิเทศ หรือการปรึกษากับหัวหน้าหรือผู้บริหารแบบ 1:1 ได้
  1. การพัฒนาทักษะ : เชื่อว่าถ้าเข้าออฟฟิศ บริษัทจะสามารถพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้พนักงานได้ดีขึ้นผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นจัดเทรนนิงให้ มีกิจกรรมพักผ่อนขององค์กร หรือมีโปรแกรมฝึกงานระยะยาว

อย่างไรก็ตาม McKinsey พบว่า แม้พนักงานจะกลับเข้าออฟฟิศแล้ว หากไม่นับเรื่องการสร้างคอนเนคชัน แง่อื่นๆ ที่พูดไปข้างต้นก็แทบไม่ต่างจากการทำงานแบบ Hybrid หรือ Work From Home เลย เพราะองค์กรไม่ได้ผลักดันให้ดีขึ้นอย่างที่อ้างไว้จริงๆ

พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้องค์กรมัวแต่หวังพึ่งการกลับเข้าออฟฟิศ แต่ลืมดูตัวเองว่า บริษัทได้พยายามช่วยพนักงานเหล่านั้นหรือยัง

ถ้าองค์กรไม่เข้ามาช่วยพัฒนาทักษะพนักงาน ต่อให้พยายามเปลี่ยนวิธีการทำงานไปกี่รอบ ผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม และหากยังมัวแต่หลับหูหลับตา โฟกัสแค่การบังคับเข้าออฟฟิศ พวกเขาอาจไม่มีวันเห็นเลยว่าปัญหาจริงๆ คืออะไร

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณคิดว่าบริษัทชั้นนำต่างๆ จะเชื่อ McKinsey ไหม?

ที่มา: McKinsey

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา