สำรวจแผนธุรกิจไทยเบฟ แบรนด์ Food & Beverage อันดับ 1 ในไทย และอันดับ 1 อาเซียน

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ Thaibev เป็นที่รู้จักกันดีว่าทำธุรกิจหลัก 3 ส่วน คือ ธุรกิจสุรา, ธุรกิจเบียร์ และธุรกิจที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม) ซึ่งทำตลาดทั้งในไทย ในอาเซียน และอีกหลายประเทศทั่วโลก และครั้งนี้ได้อัพเดทความคืบหน้าจาก Vision 2020 และแผนรุกธุรกิจแบบ 360 องศา

เตรียมงบลงทุน 7,400 ล้านบาทลุยปี 61

ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ Thaibev บอกว่า เป้าหมายสำคัญของ Thaibev คือ การสร้างสรรค์การเติบโตทางธุรกิจที่มาพร้อมกับการแบ่งปันคุณค่าร่วมกัน เพื่อให้บริษัทรักษาความเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และในอาเซียนได้อย่างยั่งยืน ตาม Vision 2020 ซึ่งมี 5 กลยุทธ์สำคัญ

  • Growth คือ สร้างการเติบโตทางธุรกิจ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงแบ่งปันคุณค่าที่เกิดขึ้น
  • Diversity คือ ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และแบรนด์จาก 3 กลุ่มสินค้า คือ ธุรกิจสุรา, ธุรกิจเบียร์ และธุรกิจไม่มีแอลกอฮอล์
  • Brands คือ การสร้างแบรนด์ทั้งตัวองค์กร ตัวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ไทยให้เกิดขึ้นทั่วโลก
  • Reach คือ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่ต้องเข้าถึงประสบการณ์และความรู้สึก
  • Professionalism คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การตอบแทนสังคม การพัฒนาทุนมนุษย์

10 ปีที่ผ่านมาของ Thaibev มีการ Transform ตัวเองตลอดเวลา จากบริษัททำธุรกิจแอลกอฮอล์ในปี 2008 มาเป็นผู้นำบริษัทธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน ประเด็นหลักคือ เน้นเรื่อง Brand และตัวสินค้าเพื่อสร้างธุรกิจไปทั่วโลก สร้างชื่อเสียงของบริษัทคนไทยให้เป็นที่รู้จัก และใส่ใจเรื่องของทุนมนุษย์ หรือ Human Capital ที่ลงทุนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ฐาปน บอกว่า ในปีงบประมาณ 61 (เดือน ต.ค. 60 – ก.ย.61) ไทยเบฟเตรียมงบลงทุนไว้ 7,400 ล้านบาทเพื่อขยาย พัฒนา ปรับปรุงทุกส่วนของธุรกิจ โดยเชื่อว่าจากนี้ไปแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น รวมถึงในปีหน้าด้วย

เปิดตัวสุราขาว “รวงข้าว ซิลเวอร์” ยกระดับตีตลาดอินเตอร์

ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา ไทยเบฟ บอกว่า กลุ่มธุรกิจสุรา แบ่งเป็น สุราขาว รวงข้าว ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี โดยได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะวางตลาดเดือน พ.ย.นี้ คือ “รวงข้าว ซิลเวอร์” มีการปรับโฉมใหม่ให้กับสุราขาว พร้อมกล่องบรรจุ ปรับลดดีกรีเหลือ 35% เพื่อเพิ่มโอกาสการดื่มได้มากขึ้น ราคา 168 บาท และเตรียมทำตลาดต่างประเทศปีหน้า ที่เวียดนาม, เกาหลี และญี่ปุ่น

“สุราขาว เป็นที่นิยมพอสมควรในต่างประเทศ ดังนั้นการปรับโฉม รวงข้าว ซิลเวอร์ (มีลักษณะคล้ายวอดก้า) จะทำให้กลุ่มลูกค้ากว้างขึ้น แต่รวงข้าวดั้งเดิมก็ยังจำหน่ายตามปกติ”

ส่วนสุราสี คือ Blend 285 มียอดขายอันดับ 1 อยู่แล้ว และได้ทำการออกแบบปรับโฉมใหม่ เพื่อกระตุ้นตลาดเช่นกัน

สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ปกติรัฐบาลมีการปรับโครงสร้างภาษีเป็นระยะอยู่แล้ว ส่งผลให้ราคาขายปรับขึ้น อาจกระทบกับยอดขายบ้างในระยะสั้น สิ่งที่ไทยเบฟต้องทำคือ บริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ

ธุรกิจเบียร์ เน้นครบไลน์ ขายความพรีเมียม

เอ็ดมอนด์ นีโอ คิม ซูน กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์ บอกว่า เป้าหมายของธุรกิจเบียร์คือ การเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน โดย 3 แบรนด์หลัก คือ ช้าง, เฟดเดอบรอย และ อาชา ซึ่งทั้งหมดได้มีการปรับโฉมให้สอดคล้องกับแนวทางการทำตลาด โดยเฉพาะ ช้าง ที่เปลี่ยนสีขวดเป็นสีเขียว ทำให้ดูพรีเมียมมากขึ้น

เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ต้องที่ 1 หรือ 2 ในทุกกลุ่มสินค้า

ลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ บอกว่า ตลาดหลักของไทยเบฟ อยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย, มาเลเซียและสิงคโปร์ ผ่านการทำตลาดของทั้งไทยเบฟ และ F&N และกำลังเปิด 3 ตลาดใหม่ คือ เมียนมา, อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมถึงทำการค้าในอีก 4 ประเทศ คือ ลาว, กัมพูชา, บรูไน และฟิลิปปินส์

กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ในทุกกลุ่มสินค้า มี 5 ประการ

  • Rebrand ปรับโฉมให้ดูวัยรุ่นมากขึ้น
  • ออกสินค้าใหม่ โดนใจผู้บริโภค
  • เจาะกลุ่มวัยรุ่นด้วยคอนเทนต์ออนไลน์
  • รุกตลาดต่างประเทศ ทั้งเอเชียและยุโรป
  • ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์ตลาด

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งเริ่มต้นจากอาหารญี่ปุ่นร้านโออิชิในปี 2008 และได้ขยายเป็น Food of Asia ในปี 2015 โดยต้องการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารทั้งหมด

นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บอกว่า ไทยเบฟมีธุรกิจอาหารตั้งแต่ระดับ street food และ QSR และร้านระดับ Casual Dining และในอนาคตจะพัฒนาร้านแบบ Fine Dining ออกมาทำตลาดเพื่อให้ครบทุกตลาด และเตรียม 4 กลยุทธ์สำคัญ

  • ขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
  • ขยายแพลตฟอร์มการให้บริการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการใหม่ๆ ไม่เป็นแค่ร้านที่รอลูกค้าเท่านั้น
  • ขยายพอร์ตโฟลิโอ มีอาหารให้ครบตามชื่อ Food of Asia ไทย, จีน, ญี่ปุ่น และยุโรป รวมถึงดีลกับ KFC ด้วย
  • พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกเมนูใหม่มาให้ลูกค้าได้ทดลอง

ยิ่งขายดี ยิ่งต้องพัฒนาซัพพลายเชน โลจิสติกส์

โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง บอกว่า ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการทำตลาดคือ นำสินค้าไปส่งถึงจุดหมายให้ได้ดีที่สุด ตรงตามความต้องการ ธุรกิจซัพพลายเชน โลจิสติกส์ จึงพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าคุณภาพจะส่งถึงมือผู้บริโภค โดยมีการนำระบบดิจิทัลและออโตเมชั่นมาใช้ที่ศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคแห่งใหม่ ที่ลำปาง จะเปิดให้บริการปลายปี 2017 และศูนย์อื่นๆ จะทยอยตามมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกระจายสินค้าให้ดีขึ้น

“ยิ่งสินค้าในกลุ่มธุรกิจของไทยเบฟขายดีมากขึ้นเท่าไร งานซัพพลายเชนทั้งหมดยิ่งต้องมีประสิทธิภาพและแม่นยำ โดยต้องไม่มากเกินไปจนเป็นต้นทุนที่สูงขึ้น และไม่น้อยจนทำให้สินค้าขาดตลาด การทำธุรกิจหยุดชะงัก หัวใจสำคัญคือต้องพอดีกับความต้องการ ต้องยืดหยุ่นเสมอ นี่คือจุดแข็งของไทยเบฟ”

 

สรุป

ฐาปน บอกว่า ทิศทางของไทยเบฟชัดเจนอยู่ในกลุ่มธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) และไม่มีแผนที่จะขยายออกไปนอกเหนือธุรกิจหลักนี้ และมีเงินทุนภายในเพียงพอที่จะขยายบริษัท (และควบรวมหรือซื้อกิจการอื่นถ้าจำเป็น) โดยเป้าหมายตาม Vision 2020 ยังคงเป็นไปตามที่วางไว้ และภายในปี 2020 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า Thaibev จะเป็นอันดับ 1 ในไทยที่แข็งแกร่ง อันดับ 1 ในอาเซียนอย่างชัดเจน และท้าทายอันดับ 1 ในเอเชีย จากปัจจุบันที่ติด Top 5 แล้ว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา