ใครเคยได้ยินเรื่องเล่าของ ‘แป้งม่วงในตำนาน’ บ้าง?
Brand Inside มีโอกาสเข้าฟังทอล์กของ ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’ ซีอีโอศรีจันทร์และ Mission to the Moon ภายในงาน ‘LINE BOOTCAMP 2025’ จึงอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกัน
จากกิจการครอบครัวที่ไม่มีใครสนใจ สู่ยอดขายกว่าพันล้าน

จุดเริ่มต้นของ ‘ศรีจันทร์’ มาจากความเสียดาย ที่ไม่มีใครมาสานต่อกิจการ ‘ศรีจันทร์สหโอสถ’ ของคุณปู่
ศรีจันทร์สหโอสถเป็นร้านขายยาธรรมดาๆ โดยมีห้องเล็กๆ ไว้ผลิต ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ที่รวิศอธิบายว่า เป็นระบบแบบ Old Fashioned ไม่มีคอมพิวเตอร์สักเครื่อง มีแต่พิมพ์ดีด แถมยังใช้งานตาชั่งแบบดั้งเดิมอีก
ณ ตอนนั้น รวิศยังทำงานประจำอยู่ที่ธนาคาร Citibank แต่พอเห็นร้านขายยาของคุณปู่ เขาก็รู้สึกอยากพัฒนามันให้ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปคุยกับหัวหน้า และได้คำตอบกลับมาว่า “ลองลาออกไปทำสักปี ถ้าไม่เวิร์ก ค่อยกลับมาทำงานแบงก์ใหม่”
ใครจะไปรู้ว่า จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ศรีจันทร์ทำยอดขายได้ถึง 1,600 ล้านบาทในปี 2024 แถมยังเป็นเจ้าตลาดทั้งในหมวดแป้งฝุ่นกับมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ด้วย
รวิศทำได้ยังไงกัน?
แค่ชื่อก็โบราณแล้ว ใครจะอยากซื้อ?

แน่นอนว่า การพลิกโฉมแบรนด์ที่ดูล้าสมัยมากๆ ให้ตามทันโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
รวิศยังจำได้เลยว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เคยพยายามเอาศรีจันทร์ไปขายกับร้านสะดวกซื้อเจ้าหนึ่ง แต่ทางร้านไม่อยากคุยกับเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะผลิตภัณฑ์ดูโบราณ
แต่รวิศก็ไม่ยอมแพ้ ไปดักรอเจ้าหน้าที่บริษัทนั้น จนเขายอมให้ขาย ส่งผลให้ผงหอมศรีจันทร์มีช่องทางการขายเพิ่ม
แค่นี้ยังไม่พอ รวิศสู้ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นแป้งฝุ่น เนื่องจากสมัยนั้น แป้ง Translucent ของแบรนด์ Laura Mercier ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่พอศรีจันทร์ทำขายบ้างจริงๆ กลับขายไม่ออก
รวิศจึงไปสำรวจว่าทำไมคนถึงไม่ซื้อ ก่อนจะได้คำตอบว่า แค่ได้ยินชื่อแบรนด์ ก็ชวนนึกถึงอะไรที่ดูไทยโบราณจัดๆ และมันไม่ใช่ตัวตนของลูกค้า
ด้วยเหตุนี้ รวิศเลยต้องฉุกคิดว่า หรือเราควรเปลี่ยนชื่อแบรนด์ศรีจันทร์ให้ดูสมัยใหม่ขึ้น?
ถ้าเราไม่ภูมิใจในแบรนด์ไทย แล้วคนอื่นจะภูมิใจได้ยังไง?

เอาจริงๆ คงพอจะรู้คำตอบแหละว่า ศรีจันทร์ยังใช้ชื่อเดิมอยู่เรื่อยมา แต่ถ้าเท้าความไปตอนที่รวิศเข้ามาดูศรีจันทร์แรกๆ ตนก็ยอมรับว่า ตอนนั้น แค่ทำเพราะอยากรวย
อย่างไรก็ตาม พอทำไปเรื่อยๆ รวิศกลับตั้งคำถามกับตนเองว่า เราอยากทำเพราะแค่นี้จริงหรือ และไม่รู้จะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ยังไง
แล้ววันหนึ่ง ฟ้าก็มาโปรด เมื่อรวิศถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นว่า เขารู้สึกอย่างไรกับ แบรนด์ Shiseido เครื่องสำอางยี่ห้อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย และเพื่อนตอบว่า “รู้สึกภูมิใจที่มีแบรนด์นี้อยู่”
ตั้งแต่นั้นมา รวิศจึงเกิดความตั้งใจใหม่ จากที่แค่อยากทำเพื่อหาเงินเพิ่มไปวันๆ สู่ความต้องการ “สร้างแบรนด์ไทยที่คนไทยภาคภูมิใจ”
โดยถ้าจะให้คนอื่นภูมิใจกับแบรนด์ได้ เราก็ต้องภูมิใจกับมันมากๆ ก่อน ด้วยเหตุนี้ รวิศจึงไม่เปลี่ยนชื่อแบรนด์ แถมยังใส่คำว่า ‘Bangkok Since 1948’ ไปในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ด้วย
ทุ่มหมดหน้าตัก ถ้าจะเจ๊ง ก็ให้รู้ๆ กันไปเลย

อ่านกันมาตั้งนาน เราจะมาเล่าจุดพลิกของศรีจันทร์จริงๆ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในช่วงนั้น บริษัทเหลือเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง รวิศจึงมาปรึกษากับเพื่อนที่ชวนมาทำศรีจันทร์ด้วยกันว่า เราควรเทหมดหน้าตัก หรือค่อยๆ ปรับโฉมแบรนด์ดี
คำตอบของเพื่อนคือ ถ้าค่อยๆ ปรับของเดิม คงไม่รอด วันนึงก็อาจเจ๊ง แต่ถ้าทุ่มทีเดียว มันอาจไปต่อได้มากๆ หรือปิดกิจการไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากัน
สุดท้าย รวิศก็เลือกเทหมดหน้าตักจริงๆ และเขามองว่า ถ้าเรามีกระสุนแค่นัดเดียว ก็ต้องเอาคนที่เข้าใจเรื่องการสื่อสารมากๆ มาช่วยเล่าเรื่อง ซึ่งนำไปสู่การเลือก ‘ต่อ-ธนญชัย’ เป็นผู้กำกับโฆษณา
จริงๆ แล้วในยุคนั้น มีแค่แบรนด์ใหญ่ๆ ที่จะได้ธนญชัยมาเป็นผู้กำกับ แต่ด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่ของศรีจันทร์ เขาจึงอยากช่วย
สิ่งที่น่าสนใจของโฆษณาชุดนี้คือ ธนญชัยออกแบบมันมาให้มีแต่ภาษาอังกฤษล้วนๆ แล้วให้เหตุผลว่า เราต้องการให้คนฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพอได้ยินชื่อศรีจันทร์ปิดท้ายโฆษณา คนจะได้ไปเสิร์ชหาที่อื่นต่อ
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ สำหรับประเทศไทยสมัยนั้น เพราะไม่มีใครทำมาก่อน และพอเอาไปเทสต์ คนก็ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ
พูดตรงๆ นี่ถือเป็นวิธีที่เสี่ยงไม่น้อย แต่รวิศก็เชื่อธนญชัย เพราะถ้าอยากได้คนเก่งๆ มาทำงานด้วย แต่สุดท้ายไม่ฟังเขา แล้วเราจะทำไปทำไม?
เมื่อโฆษณาชุดนี้ปล่อยออกไป แน่นอนว่า บรรดาญาติๆ ของรวิศก็ต่อสายมาด่าฉ่ำๆ ว่าทำไปทำไม แต่ไม่นานอาม่าอาอี๊เหล่านั้นก็ต้องเงียบลง เพราะสินค้าขายดีมาก จนรวิศต้องเป็นคนโทรตามวงศาคณาญาติให้มาช่วยแพ็คของแทน
ทีมที่ดีก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

นับตั้งแต่นั้นมา ศรีจันทร์ก็เปลี่ยนไปเลย แถมยังสร้างรายได้จากโปรเจกต์โฆษณาเยอะมาก จนสามารถเอาไปต่อยอดเป็นสินค้าใหม่ๆ หลายอย่าง รวมถึงแบรนด์ ‘SASI’ ที่ทำมาเพื่อตีตลาดคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะด้วย
นอกจากนี้ รวิศเสริมว่า การมีทีมงานที่ดีก็เป็นเรื่องสำคัญ และนี่เลยเป็นเหตุผลที่ศรีจันทร์ใช้พลังงานกับ Corporate Branding ไปเยอะมากๆ ผ่านการใส่ใจบุคลากรเป็นหลัก พร้อมสวัสดิการมากมาย เช่น
- ลาเนื่องจากภรรยาตั้งครรภ์/คลอดบุตร 30 วัน
- ลาผ่าตัดแปลงเพศ 30 วัน
- ลาพักใจ กรณีสูญเสียคนในครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยง 10 วัน
- ลาปฏิบัติธรรมหรือศาสนกิจ
ดังนั้น มันจึงไม่แปลกที่ศรีจันทร์จะกลายเป็นบริษัทที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วยเป็นอันดับ 1 ประจำปี 2025
สุดท้าย ถ้าใครอ่านบทความนี้ แล้วได้แรงบันดาลใจ อยากทำ Branding เหมือนกับศรีจันทร์บ้าง รวิศก็ขอให้ลองกลับไปถามตัวเองดูว่า อะไรที่เป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่ทำวันนี้แล้วจะทำให้แบรนด์เราดีขึ้นได้?
แล้ว Brand Inside จะพาทุกคนไปรู้จักกับแบรนด์ไทยเจ้าไหนอีก รอติดตามกันได้เลย
- “แต่งหน้าไปโรงเรียนคือ Long Term Investment” หนึ่งใน Insight ที่ทำให้ศรีจันทร์ ปั้นแบรนด์โดนใจวัยรุ่น
-
จากเด็กที่ชอบทำขนม สู่เจ้าแม่ ‘ช็อคโกแลตดูไบ’ ขายได้วันละ 1,500 ชิ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา