หลายคนบ่นแพง แต่ก็ยังขายดี Oh! Juice สาขานึงขายได้วันละ 500 แก้ว ส่วนเมนูชมพู่ทำยอดฉ่ำๆ ไป 4 หมื่นแก้วใน 1 เดือน

แม้ราคาหุ้นจะรุมกระหน่ำอย่างหนัก แถมโดนวิจารณ์สนั่นโซเชียลเรื่องราคา แต่ Oh! Juice จากโอ้กะจู๋ ก็ยังไม่แผ่วนะ

เพราะ ‘อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล‘ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร เผยว่า ปัจจุบันยอดขายของ Oh! Juice แบรนด์น้ำผักผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพของโอ้กะจู๋ ยังคงขายได้เฉลี่ยราว 500 แก้วต่อสาขาต่อวัน ลดลงจากช่วงเปิดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ สัดส่วนระหว่าง เมนูซิกเนเจอร์ และ เมนูคลาสสิค เปลี่ยนแปลงไป ลูกค้าเริ่มหันมาดื่มเมนูคลาสสิคมากขึ้น จากที่ช่วงแรกๆ หลายคนเลือกทดลองเมนูซิกเนเจอร์เป็นหลัก เพราะ Oh! Juice กลายเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของลูกค้าแล้ว

ปีเดียวเปิดได้ 16 สาขา เมนูชมพู่ขายไป 4 หมื่นแก้ว

ตอนนี้ Oh! Juice มีสาขารวม 16 สาขาแล้ว เรียกว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียงไม่ถึงปีเท่านั้น ‘อู๋’ ยอมรับว่า ความตั้งใจแรกคิดว่าจะเปิดได้ 5 สาขาเท่านั้นในปีแรก แต่เพราะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงเปิดสาขาได้มากและเร็วกว่าที่คิด

ซึ่งเรื่องนี้ก็ส่งผลต่อไทม์ไลน์ในการเปิดตัว Brand Amirer อย่าง ‘ชมพู่-อารยา’ ด้วย เพราะเดิม Oh! Juice วางแผนจะใช้ชมพูช่วยผลักดันแบรนด์ให้ติดตลาด แต่กลายเป็นว่าแบรนด์ติดตลาดไปก่อนหน้าแล้ว หลายคนเลยมองว่าการจ้างศิลปินชื่อดังที่ต้องใช้งบประมาณมากๆ อาจจะไม่จำเป็น

แต่ถึงอย่างนั้นเมนู Material Girl Smoothie ของชมพู่ก็ขายไปได้มากถึง 40,000 แก้วภายในเดือนเดียว

ไม่ได้ตั้งราคาแบบอยากให้พรีเมี่ยม แต่ตั้งจากต้นทุนจริงๆ

เป้าของ Oh! Juice ในปี 2568 คือจะขยายไปอีก 10 สาขา แต่ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เหมาะสม เพราะแบรนด์ต้องการโลเคชันที่ค่อนข้างมีทราฟิกค่อนข้างสูง แม้ที่ผ่านมาจะมีผู้เข้ามาเสนอพื้นที่ให้จำนวนมาก แต่ก็จำเป็นจะต้องเลือกอย่างละเอียด

นอกจากพื้นที่ในประเทศแล้ว Oh! Juice ก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นในสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือลาว แต่เพราะต้องการวางรากฐานให้แข็งแกร่งก่อน จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาแบบค่อยเป็นค่อยไป

ด้านคู่แข่ง ‘อู๋’ บอกว่าไม่มีโดยตรง เพราะแม้จะมีแบรนด์ที่มีมีราคาเริ่มต้นใกล้เคียงกันกันกับ Oh! Juice แต่ในด้านเมนูพรีเมี่ยม Oh! juice ก็ยังมีตัวเลือกให้เลือกมากกว่าอยู่

พร้อมย้ำว่า ราคาของ Oh! Juice ตั้งจาก Cost of Goods sold (COGS) หรือต้นทุนขายสินค้าและบริการจริงๆ ไม่ได้ตั้งจากความพรีเมียมหรือการตลาดแต่อย่างใด เป็นความพยายามที่จะส่งมอบของพรีเมียม ของดีให้กับลูกค้าในราคาที่เหมาะสม

ยอมรับคนไทยไม่ค่อยชอบ Wrap – กำลังไล่แก้ปัญหาสิ่งปนเปื้อน 

เมื่อถามถึง Ohkajhu Wrap & Roll ที่ตอนนี้ยังคงมีอยู่สาขาเดียว ทาง ‘อู๋’ ก็ยอมรับว่า คนไทยไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก แต่ก็เชื่อว่ายังมีโอกาสขยายอยู่ ตอนนี้มองพื้นที่ออฟฟิศและโรงพยาบาลเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ก็กำลังดูโลเคชันที่จะขยายสาขาเข้าไปเปิดอยู่หลายๆ ที่

ตอนนี้ลูกค้ามีทั้งไทยและต่างชาติ เมื่อเทียบกับคู่แข่งยังคงมีตัวเลือกหลากหายกว่า และมีจุดเด่นอย่างความออแกนิกของวัตถุดิบ

ส่วนปัญหาเรื่องการปนเปื้อนในอาหารนั้น ‘อู๋‘ บอกว่า สาเหตุมาจากการเติบโตก้าวกระโดด หลังบ้านจึงต้องรีบไล่ตามให้ทัน ตอนนี้ก็รับฟีดแบคและเดินหน้าแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มกระบวนการตรวจสอบ

“แม้วิธีที่ง่ายที่สุดจะเป็นการฉีดยาฆ่าแมลง แต่มันจะผิดจากความตั้งใจของโอ้กะจู๋ที่ต้องการส่งมอบผักออแกนิกและวิถีอินทรีย์แก่ลูกค้า สิ่งที่ทำได้จึงเป็นการพยายามคัดออกให้เยอะที่สุด”

ด้าน ‘โอ้กะจู๋‘ มีเป้าจะขยาย 5-8 สาขา ขึ้นอยู่กับโลเคชันที่มีว่าเหมาะสมหรือไม่ โดยคาดหวังว่าจะสามารถเติบโต 2 ดิจิทในปีนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูปัจจัยเกี่ยวข้องอื่นๆ อย่างสภาพเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

สุดท้าย ’อู๋’ บอกว่า โอ้กะจู๋จะส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ลูกค้าต้องการกลับไป รวมออแกนิก เฮลตี้ เทสตี้ และวาไรตี้เข้าด้วยกัน “หลายคนพอพูดถึงอาหารสุขภาพแล้วก็คิดว่า มันจะอร่อยไหม? แต่เราสามารถทำให้มันอร่อย หลากหลาย และตอบโจทย์ได้ อาหารเป็นสินค้า Daily กินทุกวันอยู่แล้ว เราถึงได้หาอะไรใหม่ๆ มาให้ลูกค้าตลอด”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา