บนท้องถนนในปัจจุบันเริ่มเห็นรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในสาเหตุก็คือการตั้งราคาให้เข้าถึงง่าย และการปรับลดราคาเพื่อจูงใจผู้ซื้อให้มากที่สุด แต่ Xpeng (เอ็กซ์เผิง) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรูจากประเทศจีนไม่ได้เลือกใช้กลยุทธ์เหล่านั้น แต่เน้นเรื่องนวัตกรรม และความคุ้มค่าเป็นตัวจูงใจแทน
ในประเทศไทย Xpeng ได้เข้ามาทำตลาด พร้อมสื่อสารแบรนด์ช่วงเดือน เม.ย. 2024 และเพิ่งจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกไปช่วงไตรมาส 3 ของปี 2024 เท่านั้น เรียกว่าเป็นน้องใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ก็ไม่ผิดนัก แต่น้องใหม่นี้ก็พร้อมที่จะจูงใจลูกค้ากระเป๋าหนักให้มาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทให้มากที่สุด
การจูงใจย่อมมาพร้อมกับกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่ง Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ ณัฏฐ์ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาดและการบริหารแบรนด์ Xpeng ประเทศไทย ถึงภาพรวมแผนการตลาด รวมถึงการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยดังนี้
Xpeng ที่ไม่ได้อยากเป็นแค่น้องใหม่
ณัฏฐ์ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาดและการบริหารแบรนด์ Xpeng ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า แม้จะเริ่มทำตลาดในประเทศไทยมาไม่นาน รวมถึง Xpeng ยังเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างใหม่ เพราะก่อตั้งในรูปแบบสตาร์ตอัปเมื่อปี 2014 เท่านั้น แต่ด้วยการบุกตลาดด้วยนวัตกรรม และสร้างความเชื่อมั่นผ่านการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐอเมริกา ทำให้ Xpeng เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทยเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบนวัตกรรม และความหรูหรา
Xpeng เริ่มทำตลาดในประเทศไทยด้วยรุ่น G6 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ SUV ราคาเริ่มต้น 1.439 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุ่นอื่น ๆ ในประเทศไทย แต่ด้วยการวางตัวเองเป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และคู่แข่งคือ Tesla รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์หรูอื่น ๆ ทำให้ราคานี้ถือว่าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็น Xpeng G6 วิ่งบนท้องถนนในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่ยังน้อยอยู่เพราะเพิ่งจำหน่ายช่วงไตรมาส 3 ของปี 2024 เท่านั้น
“เราเน้นแข่งขันด้วยเทคโนโลยี และวางตัวต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแบรนด์อื่น ผ่านจุดเด่นเรื่องความหรูหรา และใช้แบตเตอรี่ที่ใหญ่ ชาร์จได้เร็ว ที่สำคัญคือไม่มีแผนลง Red Ocean หรือแข่งขันด้วยราคาอย่างแน่นอน” ณัฏฐ์ ย้ำ โดยปัจจุบัน Xpeng มีดีลเลอร์ทั้งหมด 12 รายในประเทศไทย และสิ้นปี 2025 จะเพิ่มเป็น 20 ราย โดย เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ภายใต้บริษัท เอ็กซ์ โมบิลิตี้ ประเทศไทย จำกัด ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างกลุ่มอรุณ พลัส ในเครือ บมจ. ปตท. กับ บมจ. มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย)
เสริมทางเลือกด้วย X9 รถ MPV ไฟฟ้าล้วน
หลังจากเปิดตัว G6 เมื่อไตรมาส 3 ปี 2024 ในปี 2025 ทาง Xpeng เตรียมทำตลาดรถยนต์รุ่นอื่น ๆ เพิ่มเติม เริ่มต้นที่ X9 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ MPV ที่ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการความอเนกประสงค์ของรถยนต์มากขึ้น แต่ยังมากับความหรูหรา และสะดวกสบาย ซึ่ง X9 ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ด้วยความเป็น MPV ที่ขับง่ายเหมือน SUV ผ่านระบบเลี้ยว 4 ล้อ ที่ช่วยให้วงล้อแคบ และการจัดวางห้องโดยสารที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายรูปแบบ
“ในปี 2025 เราขอเน้นทำตลาด 2 รุ่นก่อน ประกอบด้วย G6 และ X9 ซึ่งตัว X9 นั้นถือเป็นอีกรุ่นที่เราคาดหวัง เพราะความต้องการ MPV มันมีมากขึ้นอย่างชัดเจน และถึงการแข่งขันจะมีมากตาม แต่เราก็พร้อมสู่ด้วยเทคโนโลยี เพราะ MPV จริง ๆ ตอนนี้มียอดขายในไทยที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ราว 10,000 คัน/ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นของแบรนด์เจ้าตลาด” ณัฏฐ์ กล่าว และจากการสำรวจของ Brand Inside พบว่า Toyota รุ่น Alphard ยังเป็นผู้นำตลาดนี้อย่างชัดเจน
สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรู Brand Inside พบว่า ในตลาดประเทศไทยนอกจาก Tesla และกลุ่มแบรนด์รถยนต์หรูดั้งเดิม ในฝั่งแบรนด์จีนจะมีผู้เล่นทั้งหมด 4 แบรนด์ ประกอบด้วย Avatr แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรูของ Changan, Denza แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรูของ BYD, Xpeng และ Zeekr แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรูของกลุ่ม Geely ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างมีจุดร่วมคล้ายกันคือ Avatr, Xpeng และ Zeekr มีการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ SUV ส่วน Denza, Xpeng และ Zeekr มีการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ MPV
ประเทศไทยคือตลาดสำคัญของ Xpeng
ณัฏฐ์ ย้ำว่า Xpeng ค่อนข้างให้ความสำคัญในตลาดประเทศไทย เพราะตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทำให้บริษัทมีการช่วยเหลือดีลเลอร์อย่างเต็มที่ และความสำคัญที่จับต้องได้คือ การผลิต และส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่น X9 แบบพวงมาลัยขวารุ่นแรกของโลกมาที่ประเทศไทยก่อนประเทศอื่น ยิ่งหากนับถึงงาน Motor Expo เมื่อปลายปี 2025 รุ่น X9 ยังมียอดจองสิทธิ์สะสมกว่า 500 คัน ก็แสดงให้เห็นว่าราคาที่ตั้งไว้ของรุ่นนี้ที่ 2.749 ล้านบาท ก็ตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
หากเจาะไปที่คุณสมบัติของ Xpeng X9 รุ่นนี้ถูกนิยามให้เป็น Ultra Smart Coupe MPV มาพร้อมแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุด 330 กิโลวัตต์ ห้องโดยสารกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 7.7 ตารางเมตร ผสานเบาะแถวสองที่มาพร้อมฟังก์ชัน Zero-gravity โดยที่เบาะแถว 3 สามารถพับแบนราบด้วยระบบไฟฟ้า ติดตั้งจอภาพแบบสัมผัสขนาด 21.4 นิ้ว รองรับความบันเทิงเต็มรูปแบบ มีชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8295 เด่นด้วยระบบเลี้ยว 4 ล้ออัตโนมัติ ช่วยให้วงเลี้ยวแคบ 5.4 เมตร
ณัฏฐ์ ทิ้งท้ายว่า ในปี 2025 ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในประเทศไทยน่าจะอยู่ราว 1 แสนคัน แม้จะไม่เติบโตหวือหวา แต่การแข่งขันของตลาดยังดุเดือดเช่นเดิม โดยหากอ้างอิงข้อมูลสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยพบว่า ในปี 2024 มียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV ในไทยที่ 96,891 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 70,595 คัน, รถจักรยานยนต์ 25,020 คัน และที่เหลือเป็นรถสามล้อ, รถบัส และรถบรรทุก โดยมี BYD เป็นผู้นำตลาดรถยนต์นั่ง ผ่านยอดจดทะเบียนที่ 27,005 คัน รองลงมาเป็น MG 9,081 คัน และ Neta 7,969 คัน
สรุปตัวเลขยอดผลิต และยอดขายรถยนต์ไทย
Brand Inside พบว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยอ้างอิงข้อมูลสภาอุตสาหกรรมจะมียอดผลิตปี 2024 รวมทั้งหมด 558,440 คัน ลดลง 13.53% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนยอดขายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 341,956 คัน ลดลง 26.18% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ไทยหดตัวอย่างหนัก โดยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนกลุ่มรถยนต์นั่งยังมียอดขาย 66,732 ลดลง 9.29% สวนทางกับยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่มีจำนวน 117,789 เติบโตถึง 26.67% โดยมีแบรนด์รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นต่าง ๆ โหมตลาด
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา