คุยกับ Nicola Kilner ซีอีโอ The Ordinary. ถึงที่มาของแบรนด์สกินแคร์ และการรุกไทยอย่างเป็นทางการ

ปัจจุบันตลาดความงามเริ่มกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีมูลค่ารวมกว่า 3.8 แสนล้านยูโร จากปี 2023 ที่อยู่ราว 2.8 แสนล้านยูโร ซึ่งหนึ่งในสินค้าที่ขับเคลื่อนตลาดนี้ให้ไปถึงจุดนั้นได้คือสกินแคร์ ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในตอนนี้คือ The Ordinary.

ถามว่าทำไม The Ordinary. ถึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เหตุผลหลัก ๆ คือการทำสกินแคร์ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพ ในราคาที่สมเหตุผล ซึ่งหลังจากนี้ผู้บริโภคในประเทศไทยไม่ต้องพรีออร์เดอร์ หรือสั่งซื้อออนไลน์จากพ่อค้าแม่ค้าอีกต่อไป เพราะ The Ordinary. เตรียมเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว

Brand Inside มีโอกาสสอบถาม Nicola Kilner ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร The Ordinary. ถึงที่มาของการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย รวมถึงจุดเริ่มต้น และกลยุทธ์การทำตลาดในอนาคตของแบรนด์ The Ordinary. ดังนี้

The Ordinary.

บุกตลาดด้วยสกินแคร์ที่มีความเข้มข้น

Nicola Kilner ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร The Ordinary. เล่าให้ฟังว่า เราเป็นผู้บุกเบิกวงการสกินแคร์ด้วยการนำเสนอส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นในราคาที่สมเหตุสมผล ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสกินแคร์ที่มีประสิทธิภาพได้

ความสำเร็จของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของค่านิยมสำคัญ นั่นคือ ความเรียบง่าย ความโปร่งใส และการมุ่งเน้นสูตรที่มีการรับรองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก

The Ordinary. เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ปี 2016 และกลายเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการขยายออกไปในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก และเป็นหนึ่งในธุรกิจของ DECIEM ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2013 และวางตัวเองเป็นบริษัทที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมความงาม ผ่านการชูเรื่องความโปร่งใส และพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง

ใช้แนวทาง Lab to Consumer เพื่อประโยชน์สูงสุด

The Ordinary. ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก เพราะบริษัทมีทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในแผนก Applied Research ซึ่งรับผิดชอบการค้นหาและคัดเลือกส่วนผสมใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ที่สำคัญแนวคิดผลิตภัณฑ์ของบริษัทเริ่มต้นในห้องแล็บ ไม่ใช่ห้องประชุม

การเดินหน้าแบบนี้ทำให้บริษัทสามารถใช้กลยุทธ์ Lab to Consumer ที่ส่งผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากห้องแล็บ ไปสู่ผู้บริโภค โดยไม่ต้องพึ่งพาแนวทางการสื่อสารการตลาด หรือแนวคิดของอุตสาหกรรมความงามแบบดั้งเดิม ซึ่งจุดนี้ช่วยสร้างความแตกต่างกับแบรนด์ให้กับสินค้าในตลาดด้วย

สำหรับการเปิดตัวในประเทศไทยครั้งนี้ The Ordinary. มีการเตรียมทำตลาดด้วยการสื่อสารการบำรุงผิวแบบ  Prep/Treat/Seal (เตรียมผิว, ฟื้นบำรุง, และปกป้อง) ที่เข้าใจง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยมีผลิตภัณฑ์เด่นในแต่ละขั้นตอน เช่น

  • Squalane Cleanser ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ได้รับรางวัล ราคา 1,170 บาท
  • Hyaluronic Acid 2% + B5 เซรั่มให้ความชุ่มชื้นสูตรใหม่ล่าสุด ราคา 530 บาท
  • Natural Moisturising Factors + HA มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบาที่ช่วยปกป้องผิว ราคา 780 บาท

ไทยเป็นก้าวสำคัญในการบุกอาเซียน

การเข้าสู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจในอาเซียน และบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ผ่านการเปิดตลาดใหม่ทั่วโลก พร้อมทั้งนำเสนอนวัตกรรมใหม่ในด้านสูตรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและความกังวลเฉพาะของผู้บริโภคชาวไทย

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงยึดมั่นในแนวทางการให้ความรู้เป็นหลักในการสื่อสารกับผู้บริโภค เพราะในยุคที่ผู้บริโภคมีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับสกินแคร์มากขึ้น The Ordinary. จึงได้ปรับตัวโดยเน้นความโปร่งใสในการแสดงส่วนผสม การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการไม่ทดลองกับสัตว์

“เรานำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถปรับแต่งสูตรการดูแลผิวให้เหมาะกับตนเองได้” Kilner อธิบาย โดยปัจจุบัน The Ordinary. มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน จากจุดเริ่มต้นที่มีเพียง 3 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแบรนด์

Brand Inside พบว่า ปัจจุบัน The Ordinary. เป็นหนึ่งในแบรนด์ของเครือ Estée Lauder Companies เพราะตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2024 ทาง Estée Lauder Companies ได้ลงทุนกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าควบรวมกิจการ DECIEM หลังลงทุนในบริษัทดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2017 และเพิ่มเงินลงทุนจนถือหุ้นใหญ่ในปี 2021

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา