คุณคิดว่าเคล็ดลับความสำเร็จของ ‘Bill Gates’ คืออะไร? โตมาเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีแบบนี้ คงคลุกคลีกับนวัตกรรมมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า?
แต่ความจริงแล้ว Bill Gates โตมากับการเล่นนอกบ้าน แบบไม่มีเทคโนโลยีสักนิดเลยต่างหาก
Gates เคยเล่าว่า เขาเติบโตมากับการเล่นอย่างอิสระ ทั้งเปิดโลกผ่านสารานุกรม ตะลุยทำโปรเจกต์วิทยาศาสตร์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งแงะเครื่องมือในบ้านมาดูเล่น เรียกได้ว่าเป็นนักสำรวจตัวน้อยที่ไม่มีข้อจำกัดการเล่นจริงๆ
ด้าน ‘National Library Medicine’ ก็วิจัยออกมาว่า การเล่นแบบไร้ขอบเขตนั้น มีส่วนช่วยให้เด็กๆ รู้จักคิดวิเคราะห์ ฝึกวินัยตนเอง และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
เอาง่ายๆ เลยคือ การเล่นแบบนี้เป็นพื้นฐานในการเสริมสร้างทักษะสำคัญๆ ของชีวิต ที่จะปูต่อไปสู่ความสำเร็จได้
Gates ไม่ปลื้มพ่อแม่ยุคใหม่ทิ้งลูกไว้กับจอ
แม้ Gates จะเป็นเจ้าของบริษัทที่ผลิตนวัตกรรมล้ำสมัยมากมาย แต่เขามองว่า มันช่างย้อนแย้งสิ้นดีที่พ่อแม่สมัยนี้พยายามปกป้องลูกจากโลกภายนอก ด้วยการจับเด็กๆ มาใช้ชีวิตในสังคมออนไลน์แทน
เพราะเราไว้ใจโลกออนไลน์ได้ขนาดนั้นเลยหรือ?
ในมุมมองของ Gates การละเล่นแบบเขานี่แหละที่ทำให้ตนกลายเป็นคนรักเทคโนโลยีขนาดนี้ และพวกมันก็สอนให้รู้จักการแก้ปัญหา ฝึกสมาธิ พร้อมบูสต์ความคิดสร้างสรรค์ด้วย
Gates เสริมว่า ความสุขวัยเด็กคือ การได้สำรวจโลกและเล่นโดยไม่มีอะไรมารบกวน เหมือนกับว่า โลกที่ไม่มีสมาร์ตโฟนเปิดโอกาสให้เขาได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ตรงหน้าอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ Gates จึงกังวลว่า เด็กๆ ยุคใหม่อาจไม่มีโอกาสเรียนรู้ผ่านการเล่นเหมือนเขา เนื่องจากมัวแต่ใช้เวลาอยู่กับจอ ซึ่งอาจทำให้สมาธิสั้นลงได้
Gates กล่าวว่า สมาธิของเราก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ หากมีอะไรมากวนอยู่ตลอดเวลา เราจะพัฒนามันได้อย่างไร และถ้าเด็กๆ ขาดความสามารถในการจดจ่อ โลกของเราคงไม่มีใครเสนอไอเดียเจ๋งๆ แล้ว เพราะเมื่อเกิดความคิดขึ้นมา ก็ดันไม่มีสมาธิมากพอที่จะเก็บมันไปสานต่อ
พูดก็พูดได้ แต่ลาจากจอมันยาก
ที่ Gates พูดมาก็มีเหตุผล แต่คำถามคือ Gen Z และ Gen Alpha ห่างออกจากจอได้จริงหรือเปล่า?
ก่อนจะไปหาคำตอบกัน รู้หรือไม่ ล่าสุด ‘Pew Research Center’ เผยว่า 72% ของวัยรุ่นสหรัฐฯ รู้สึกสงบจิตสงบใจมากกว่าเดิม เมื่อไม่ได้ใช้สมาร์ตโฟน
ยิ่งไปกว่านั้น Gen Z อเมริกันเกือบครึ่งยังบอกอีกว่า ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากให้โลกนี้มีโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ X และ TikTok ที่โดนเด็กๆ ในผลสำรวจชี้เลยว่า “ไม่ควรถูกสร้างมาตั้งแต่แรก”
อย่างไรก็ตาม การเอาตัวเองออกจากโลกออนไลน์ มันพูดง่าย แต่ทำได้ยาก เพราะทุกวันนี้ จะทำการบ้าน ทำงาน หรือเข้าสังคม ล้วนต้องอาศัยเทคโนโลยีทั้งนั้น
นอกจากนี้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2021 พบว่า วัยรุ่นอเมริกันใช้เวลาไปกับหน้าจอเฉลี่ยประมาณ 8 ชั่วโมง 39 นาที โดยไม่รวมตอนที่ใช้เพื่อการศึกษา
ดังนั้น พูดก็พูดไปเถอะ แต่จะทำได้จริงหรือเปล่า คืออีกเรื่อง
แล้วพ่อแม่ครูอาจารย์ต้องทำยังไง?
ถ้าโลกมันเป็นอย่างนี้ ผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ควรทำอย่างไร เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์และสมาธิยาวเหมือนกับ Bill Gates?
จริงๆ แล้ว มันก็อาจไม่ยากขนาดนั้นหรอก แค่ผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้เด็กๆ ได้จดจ่อแบบไม่มีเทคโนโลยีมารบกวนบ้าง ซึ่งสามารถลองทำได้ดังนี้
- สร้างโซนปลอดเทคโนโลยีในบ้าน เช่น ห้องนอนหรือห้องทานข้าว โดยวิธีนี้จะส่งเสริมให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทิ้งหน้าจอ แล้วหันมาทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกันแทน
- จำกัดเวลาหน้าจอ ซึ่งทำได้ง่ายมาก เพราะเดี๋ยวนี้ เรามีแอปพลิเคชันหรือการตั้งค่าอุปกรณ์ที่สามารถตั้งเวลาการใช้งานต่อวันได้แล้ว
- ส่งเสริมการเล่นเชิงสร้างสรรค์ ให้เด็กๆ ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ และเรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหาผ่านกิจกรรมเช่น เล่นตัวต่อ วาดภาพระบายสี หรือเล่นดนตรี
- ฝึกสติ ด้วยกิจกรรมอย่างการนั่งสมาธิหรือเล่นโยคะ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ และฝึกให้เด็กๆ จดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้นานขึ้น
- เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะเด็กๆ เรียนรู้จากการเลียนแบบ ถ้าพ่อแม่สามารถเอาตัวเองออกจากจอแล้วหันมาทำกิจกรรมที่ไม่พึ่งเทคโนโลยีได้ ลูกๆ ก็จะทำตาม
สุดท้ายนี้ การเล่นโซเชียลมีเดียหรือใช้เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แค่ทุกอย่างต้องอยู่ในปริมาณที่พอดี และเหมาะสมกับพัฒนาการของแต่ละช่วงวัยเท่านั้น
ที่มา: Yahoo! Life
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา