ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) แถลงข่าวตั้งบริษัทลูกใหม่ SCB Abacus (เอสซีบี อบาคัส) เพื่อโฟกัสงานด้าน Big Data และ AI ถือเป็นธนาคารแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อพัฒนาด้าน AI โดยเฉพาะ
SCB Abacus บริษัทลูกเพื่องาน AI สำหรับแบงค์
SCB Abacus ถูกแยกออกมาเป็นบริษัทลูกเพื่อให้ทำงานได้คล่องตัว โดยจะยังเน้นให้บริการเฉพาะบริษัทภายในเครือไทยพาณิชย์เป็นหลัก ตัวอย่างโครงการที่ SCB Abacus จะเข้ามามีบทบาทสนับสนุนธุรกิจของไทยพาณิชย์ ได้แก่พัฒนาระบบ Recommendation Engine ช่วยแนะนำบริการในแอพ SCB Easy, นำ AI มาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยที่เหมาะสมกับลูกค้าเป็นรายบุคคล โดยใช้อุปกรณ์ IoT มาช่วยเก็บข้อมูล, นำ AI มาช่วยคาดเดาปัญหาที่ลูกค้าจะโทรเข้ามายังคอลล์เซ็นเตอร์ เพื่อโอนสายไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เป็นต้น
SCB Abacus ได้ ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดยก่อนหน้านี้ ดร.สุทธาภา เป็นรองผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ของธนาคารไทยพาณิชย์ ประวัติของ ดร.สุทธาภา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และระดับปริญญาเอกจากสถาบัน MIT ก่อนมาร่วมงานกับไทยพาณิชยื ดร.สุทธาภา เคยทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ที่กรุงวอชิงตันดีซี และผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังมาก่อน
จุดแข็งของ SCB Abacus คือการดึงตัวผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ที่เคยทำงานในบริษัทระดับโลกมาร่วมทีม, การมีข้อตกลงกับสถาบัน MIT เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้งาน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลของกลุ่ม SCB ที่มีอยู่แล้ว
SCB Abacus ยังตั้งคณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายธุรกิจ เช่น ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล (อดีตผู้อำนวยการ สวทช.), ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร (ซีอีโอ ปตท.), คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ (อดีตผู้บริหารระดับสูง AIS ส่วนงานบริการลูกค้า) และ ศ.ดร.เบ็นจามิน แวนรอย (มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด)
SCB ใช้แนวทางตั้งบริษัทลูก เพื่อความคล่องตัวในการลองสิ่งใหม่ๆ
นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่าการจัดตั้ง SCB Abacus ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผน Transformation ที่เริ่มมาแล้วประมาณ 2 ปี โดยก่อนหน้านี้ ไทยพาณิชย์ได้แยกบริษัทลูกด้านฟินเทคชื่อ Digital Ventures (DV) มาก่อนแล้ว
นายอาทิตย์ระบุว่า SCB เป็นองค์กรเก่าแก่ มีลูกค้าเยอะ แม้บริษัทแม่ยังจะผลักดันเรื่องดิจิทัลต่อไป แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างทั้งผลกระทบต่อลูกค้าและผลประกอบการ โจทย์คือทำอย่างไร SCB ถึงจะลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องผูกกับธุรกิจธนาคารเดิม
แนวทางการตั้งบริษัทลูกจึงเป็นทางออก ผลงานที่ผ่านมาของ DV ในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าทดลองทำหลายอย่าง ที่เห็นผลแล้วก็อย่างเช่นการตั้งหน่วยลงทุน Venture Capital และโครงการนำร่องทดสอบแอพในตลาดนัดจตุจักร เป็นต้น
ส่วนแนวทางการตั้ง SCB Abacus มองโจทย์ว่าบริษัทมีข้อมูลปริมาณมาก ทำอย่างไรจึงจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงตั้งใจแยกบริษัทออกมาทำงานขนานกับ DV โดยมีเป้าหมายเพื่อทดลองเรื่อง AI กับ Big Data เป็นหลัก ตอนนี้ข้อมูลที่ธนาคารมียังเป็นข้อมูลแบบ traditional ที่ธนาคารเคยเก็บไว้ เป็นข้อมูลทั่วๆ ไปว่าลูกค้าเป็นใคร ทำอะไรบ้าง ถือว่าเป็นข้อมูลพื้นๆ แต่ในอนาคต Abacus จะต้องไปไกลกว่านี้ ต้องมีข้อมูลแบบ unstructured ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของลูกค้า เพื่อนำไปต่อยอดบริการให้ได้กว้างไกลขึ้น เพื่อสร้าง predictive และ insight ใหม่ๆ ที่ธนาคารไม่เคยมีมาก่อน
นายอาทิตย์บอกว่าการนำข้อมูล big data มาใช้บริหารความเสี่ยง จะยังช่วยให้ธนาคารบริหารสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมาก มีอัตราหนี้เสีย (NPL) ไม่ถึง 2% ซึ่งธนาคารในประเทศไทยไม่เคยทำได้มาก่อน ในอีก 6 เดือนจากนี้น่าจะเห็นผลงานของ SCB Abacus เริ่มปล่อยออกมา
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา