ไทยยังเป็นเป้าหมายสำคัญของคนญี่ปุ่นในการเข้ามาทำงาน หรือเข้ามาใช้ชีวิตนอกญี่ปุ่นเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย และค่าครองชีพที่สูง ทำให้ตัวที่พักอาศัยที่สร้างเพื่อรับความต้องการนี้โดยเฉพาะยังเกิดต่อเนื่อง และล่าสุดคือคอนโดมิเนียมของ “แสนสิริ”
กำลังซื้อสูง พร้อมซื้อหากถูกใจ
หากผ่านไปย่านอโศก จนถึงทองหล่อ คงไม่แปลกที่จะเจอแม่บ้าน หรือชายญี่ปุ่นใส่ชุดทำงานดูภูมิฐานเดินกันขวักไขว่ เพราะหนุ่มสาวจากแดนอาทิตย์อุทัยต่างมาอยู่มาศัยที่นี่แบบประจำมาเกือบ 10 ปีแล้ว เพราะทั้งอยากหลีกหนีความวุ่นวายในประเทศบ้านเกิด หรือไม่ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อให้มาใช้ชีวิตในประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า ซึ่งปัจจุบันก็มีกว่าแสนคนที่อยู่ในไทย
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป คนกลุ่มเดิมก็ยังอยู่ แล้วถ้ากลุ่มคนใหม่ๆ จะเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทยจะทำอย่างไร ซึ่งจุดนี้ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายเจ้าเริ่มมองเห็นเรื่องนี้ ประกอบกับชาวญี่ปุ่นนั้นมีกำลังซื้อสูง และยอมจ่ายหากถูกใจในที่เหล่านั้น ตัวพื้นที่เอกมัยจึงกลายเป็นอีกย่านใหม่ที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มสร้างคอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้น
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ เล่าให้ฟังว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่เริ่มทำตลาดกับกลุ่มนี้ เพราะเมื่อ 4 ปีก่อนก็มีโครงการ VIA 49 ที่ตั้งอยู่ในซ.สุขุมวิท 49 ซึ่งจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ราคาเริ่ม 4.9 ล้านบาทในเวลานั้น แถมผู้พักอาศัยตอนนี้ก็เป็นชาวญี่ปุ่นถึง 90% ดังนั้นถ้าตัวห้องพัก กับทำเลนั้นถูกใจพวกเขา โอกาสที่ทำตลาดก็ยังมีอีก
4.49 ล้านบาท กับทำเลที่ไกลขึ้นอีกนิด
จากปัจจัยดังกล่าว “แสนสิริ” จึงลงทุนสร้างโครงการคอนโดมิเนียม Low-Rise มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ Taka Haus ในซอยเอกมัย 12 โดยจะเน้นทำตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกับชาวญี่ปุ่น ด้วยราคา 1 ห้องนอน เริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่ต.ค. 2562 ต่อยอดแบรนด์ Haus ที่เริ่มติดตลาดหลังทำยอดขายได้ดีที่สุขุมวิท 77
“โอกาสในตลาดนี้มันมีสูง ประกอบกับตัวความเจริญก็ไหลมาจากทองหล่อสู่เอกมัยมากขึ้น และพื้นที่นี้ก็ยังราคาเกือบ 2 แสน/ตร.ม. ซึ่งน้อยกว่าทองหล่อที่เกิน 2 แสน/ตร.ม. ไปแล้ว จึงคาดว่าตัวโครงการนี้เบ็ดเสร็จจะมีชาวไทยเป็นเจ้าของ 55% ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ และน่าจะปิดการขายช่วงพรีเซลล์ 16-17 ก.ย. นี้ได้ 1,000 ล้านบาท หรือครึ่งหนึ่งของโครงการ”
เชื่อมั่นสิ้นปียังมียอดขายตามเป้า
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ปีนี้ทางบริษัทได้ลงทุนซื้อที่ดินใหม่ๆ กว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมขึ้นโครงการใหม่ๆ ประกอบกับการทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น จนมียอดขายจากต่างชาติถึง 30% ทำให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวได้ ทำให้ปีนี้น่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สรุป
การเดินหน้าทำตลาดต่างชาติ เป็นอีกวิธีที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายเลือกใช้ในเวลานี้ เพราะช่วงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงยกระดับแบรนด์ได้ดี ส่วนการเข้ามาทำตลาดคนญี่ปุ่นของ “แสนสิริ” ครั้งนี้ น่าจะชี้ให้เห็นว่า การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนให้ชาวญี่ปุ่นเช่า ยังสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดีอยู่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา