หนึ่งในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาอยู่ต่อเนื่องและเคยพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาแล้วในอดีตนั่นก็คือเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า 5G กันมาบ่อยแล้วแต่หลายคนอาจจะไม่ค่อยแน่ใจว่าแล้ว 5G กับ 4G หรืออื่นๆ มันแตกต่างกันอย่างไร ทำไม 5G ทุกคนถึงดูมีความต้องการมากขึ้นจากผู้บริโภค บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเทคโนโลยี 5G กันว่ามันคืออะไรและ 6G จะมาเมื่อไหร่
5G คืออะไร
เทคโนโลยี 5G เป็นเทคโนโลยีโทรคมนาคมแบบไร้สายที่เดินทางมาถึงยุคที่ 5 หรือ 5 generation แล้ว เพิ่มขีดความสามารถและความเร็วรวมถึงลดเวลาหน่วงของข้อมูลได้หลายเท่า สามารถต่อยอดไปใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่มากกว่าโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน และสามารถขับเคลื่อนหลายธุรกิจที่ต้องอาศัยความเร็วและการครอบคลุมของ 5G อีกด้วย ซึ่งประเทศไทยนั้นมีการนำ 5G เข้ามาใช้ครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่มีอัตราการครอบคลุมของ 5G ในประเทศสูงมาก เรียกได้ว่าถ้าคุณใช้มือถือที่รองรับ 5G ในประเทศไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถใช้งาน 5G ได้เลย ไม่ได้กระจุกแค่ในตัวเมืองเท่านั้น
2G, 3G, 4G คืออะไร
หากใครยังพอจำได้หรือเคยผ่านการใช้งานมือถือมาตั้งแต่ยุคแรกๆ คงจะพอจำกันได้ว่าการใช้งานเครือข่ายมือถือยุคแรกๆ นั้นเป็นการคุยโทรศัพท์ผ่านระบบเสียง มีสัญญาณหลุดบ้าง ต้องคอยเดินหาสัญญาณบ้างเนื่องจากเครือข่ายยังไม่ครอบคลุม หลังจากที่เข้าสู่ยุค 2G เราก็สามารถใช้งานการส่งข้อความแบบ Text หากันได้เรียกว่า SMS และอีกไม่นานก็สามารถส่งรูปภาพหากันได้ผ่าน MMS ซึ่งมีอัตราค่าบริการที่แพงกว่า SMS อยู่หลายเท่าตัว
ยุคของ 3G ถือว่าเป็นยุคที่กิจการโทรคมนาคมเฟื่องฟูมากเพราะโทรศัพท์มือถือเริ่มแพร่หลายและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น มีผู้เล่นมากมายเกิดขึ้นทั้งตัวของแบรนด์โทรศัพท์และผู้ให้บริการเครือข่าย มีการพัฒนาความเร็วและการครอบคลุมให้มากขึ้นทำให้เราสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือเป็นครั้งแรกในยุคนี้ หลายคนคงเคยใช้งานเว็บไซต์หรือวิดีโอคอลหาเพื่อนๆ กัน นอกจากนี้ยังเป็นยุคบุกเบิกของ Smartphone เทคโนโลยี 3G จึงนำพาสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นนอกจากนี้ยังมีการเกิดขึ้นของ Social Media ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงจึงมีความต้องการที่สูงขึ้น
จนเมื่อเทคโนโลยี 4G เกิดขึ้น ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทำให้ความสามารถด้านวิดีโอและการ Streaming เริ่มเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น เราได้เห็นการถ่ายทอดสดผ่าน 4G มากขึ้นรวมทั้งสามารถดูรายการสดผ่านมือถือได้ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้สื่อที่เป็น Streaming platform อย่าง Netflix Spotify ก็ได้มีบทบาทมากขึ้นเนื่องจากความเร็วในการรับส่งที่ทำให้การรับชมความบันเทิงไม่มีสะดุด รวมทั้งการดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ๆ ก็ทำได้ง่ายขึ้นมากจากปกติที่เราดาวน์โหลดไฟล์ 10GB ใช้เวลาพอสมควร ในยุคของ 4G เราสามารถดาวน์โหลดเสร็จได้ในเวลาไม่นาน
แล้ว 5G แตกต่างกับ 4G มากน้อยแค่ไหน
แม้จะมีหลายคนบอกว่า 4G กับ 5G ไม่ค่อยแตกต่างกันมาก แต่นั่นอาจจะมาจากพฤติกรรมการใช้งานในแอปพลิเคชั่นที่อาจจะไม่ได้ดึงเอาประสิทธิภาพการใช้งานของ 5G ออกมาเท่าที่ควรอย่างเช่นการเล่น Social Network หรือการรับชม Online Content แต่หากเราลองดูจากตัวของความเร็วสูงสุดทั้งการอัพโหลดและดาวน์โหลด จะสังเกตว่ามีความแตกต่างกันมาก ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้นำมาซึ่งความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูล รวมทั้งความหน่วงที่ลดน้อยลงกว่า 10 เท่าทำให้ปัญหาเรื่องสัญญาณดีเลย์ นั้นน้อยลง เพิ่มขึดความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ระยะไกลได้มากขึ้น จากที่เคยต้องกังวลว่าการควบคุมระยะไกลจะดีเลย์แล้วต้องเผื่อเวลา กลายเป็นว่าเราสามารถทำทุกอย่างได้อย่าง near realtime มากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ 5G
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเมื่อสัญญาณมีความเสถียรมากขึ้นการทำงานที่ต้องใช้ความเร็วสูงจึงสามารถทำได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น การเรียน Online การทำ Live Streaming การใช้งาน IoT ภายในบ้านและสำนักงาน การอัพโหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เช่นไฟล์ 8K
หากมองในระดับที่ใหญ่มากยิ่งขึ้น 5G สามารถทำให้เราประมวลผลอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็วและตอบกลับไปได้ทันที เช่น การทำ Smart City ที่สามารถรับข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ ทั่วเมืองเพื่อนำมาวิเคราะห์และแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่นเซนเซอร์วัดระดับน้ำฝน เซ็นเซอร์ตรวจจับค่าฝุ่นละอองในอากาศ การใช้งาน telemed ที่โรงพยาบาลสามารถติดต่อหาผู้ป่วยที่บ้านหรือทำการตรวจและรับข้อมูลผู้ป่วย Realtime
นอกจากนี้ Trend ที่กำลังมาแรงอย่าง AR VR metaverse ต่างก็ต้องพึ่งพาความสามารถของเครือข่าย 5G เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่และลดความหน่วงรวมถึงทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบ และในอนาคตก็จะมีอุปกรณ์มากมายที่ต้องอาศัย 5G เป็นตัวเชื่อมต่อเช่น Apple Vision Pro จาก Apple
ตัวอย่างการนำ 5G ไปใช้
- การทำ Live Streaming ที่ความละเอียด 4K หรือสูงกว่านั้น
- การรับชม Content ที่มีความละเอียดสูงผ่านอุปกรณ์ VR และ AR
- ความเสถียรและความลื่นไหลที่ทำให้การประชุมออนไลน์ไม่สะดุดและได้ยินเสียงที่คมชัดมากยิ่งขึ้น
- การประมวลผลเร็วขึ้นทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- การบริการทางการแพทย์จะครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สามารถพบหมอจากที่บ้านได้และหมอสามารถวินิจฉัยโรคเบื้องต้นได้ทันที
- การทำ Smart Home ที่สามารถเชื่อมต่อหลายๆ อุปกรณ์และควบคุมได้จากระยะไกลแบบทันที เพราะ 5G มีระยะการหน่วงเวลาที่น้อยลงมาก
- รถยนต์ไร้คนขับสามารถประมวลผลและส่งข้อมูลกลับมาหาตัวผู้ใช้ได้ทันที
- การทำระบบขนส่งสาธารณะแบบไร้คนขับทำได้ง่ายขึ้นผ่านการควบคุมจากศูนย์บังคับการระยะไกล
และนี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ 5G สามารถทำได้ ยังมีอีกมากมายที่รอการประยุกต์ใช้และถูกค้นพบ รวมถึงการใกล้เข้ามาของเทคโนโลยี 6G ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปตลอดกาล
Source : amazon.com , ais.th , marketingoops.com
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา