ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างจับตามองเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลที่อาจทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงไทย เบื้องต้น นักวิเคราะห์ต่างมองว่าสงครามในตะวันออกกลางนี้อาจขยายวงกว้าง เนื่องจากอิสราเอล เริ่มบุกโจมตีภาคพื้นดินเข้าสู่ฉนวนกาซา และอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน
ดังนั้นผลกระทบต่อตลาดการลงทุนจะเป็นอย่างไร และหุ้นกลุ่มไหน ‘ได้-เสีย’ ประโยชน์บ้าง?
เริ่มกันที่ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตรชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า หากการสู้รบลากยาว หรือลุกลามไปสู่พื้นที่ที่มีการผลิตน้ำมัน (เช่น ซาอุดิอาระเบีย, อิรัก, อิหร่าน ฯลฯ) อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันรวมถึงการผลิตน้ำมัน และต้องติดตามว่าสหรัฐจะทำอะไรหรือไม่
ทั้งนี้ บล.เกียรตินาคินภัทร ได้ทำการศึกษาพบว่า ทุกๆ 1 ล้านบาร์เรลที่หายไปของ Supply หรือ Demand ที่หายไปจะมีผลต่อราคาน้ำมัน 15-20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (ปัจจุบันที่เกือบ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) ซึ่งหากราคาน้ำมันขึ้น กลุ่มที่ได้รับประโยชน์เช่น PTTEP ซึ่งปริมาณการขาย 30% เป็นน้ำมัน ขณะที่ในมิติของรายได้คือ 50% เป็นสัดส่วนจากน้ำมัน และการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบกับกำไรปีหน้าที่ 1.8%
ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบคือ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่ Margin จะแคบลงจากต้นทุนที่สูงขึ้น และเมื่อตลาดยังมีการแข่งขันสูงและ Demand ยังมีความอ่อนไหวทำให้โอกาสที่ต้นทุนจะส่งผ่านไปยังราคายังน้อย นอกจากนี้มองว่าผลกระทบทางตรง คือ ราคาแก๊ซที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน จึงอาจส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายไฟฟ้าต้องอ้างอิง EGAT (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ซึ่งในจังหวะนี้รัฐบาลน่าจะไม่อยากให้ค่าไฟเพิ่มขึ้น ดังนั้น Margin จะแคบลงเช่นกัน
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ (16-20 ต.ค.) คาดว่าตลาดหุ้นไทย (SET Index) จะกลับมาอ่อนตัว โดยมีกรอบที่ 1,440/1,430 – 1,462 จุด ตามลาดับ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดใน ตะวันออกกลาง ซึ่งกังวลถึงการสู้รบที่ลุกลาม และความไม่ แน่นอนแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หลังเงินเฟ้อสหรัฐ ก.ย. สูงกว่า
ทั้งนี้ มองว่า เมื่อตลาดกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลางกระทบอุปทานน้ำมัน จึงคาดว่ากลุ่มหุ้นเก็งกำไรที่น่าจะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูง ได้แก่ PTTEP, BCP
ขณะที่ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า SET Index วันนี้ (16 ต.ค.) อ่อนตัวลงตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการสู้รบในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์อาจขยายวงกว้าง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นแรงพยุงหุ้นกลุ่มพลังงานกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ จึงแนะนำทยอยเข้าสะสมหุ้นกลุ่มรับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากภาวะสงคราม ประกอบด้วย PTTEP, SPRC, BCP และ ESSO
ที่มา – บล.เกียรตินาคินภัทร, บล.โกลเบล็ก และ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา