GULF หรือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ 25 เมษายน 2565 ว่า บริษัทฯ และ CDTO (บริษัท China Datang Overseas Investment Co., Ltd.) ภายใต้เครือ China Datang Corporation Ltd. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและบริษัทพลังงานชั้นนำของจีน
มีโครงการผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิตติดตั้งรวม 170,000 เมกะวัตต์ ครอบคลุม 13 ประเทศทั่วโลก ได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Beng (หรือโครงการ Pak Beng) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขง เมืองปากแบ่ง แขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป. ลาว และจะทำการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่ กฟผ. นั้น
ล่าสุด เมื่อ 13 กันยายน 2566 Pak Beng Power Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และ CDTO ในสัดส่วน 49% และ 51% ตามลำดับ ได้ดำเนินโครงการ Pak Beng โดยเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เรียบร้อย สัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 29 ปี
นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 2.7129 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้โครงการ Pak Beng มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้กับสถาบันการเงิน คาดว่าจะสามารถจัดหาได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี กำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2576
โครงการ Pak Beng เป็นโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลและสภาแห่งชาติ สปป.ลาว ได้ลงนามสัญญาสัมปทานกับรัฐบาล สปป.ลาว แล้วเมื่อ 11 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย และ สปป.ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (MOU) เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน
โดยภายใต้ MOU ไทยจะซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใน สปป.ลาว และเชื่อมโยงผ่านระบบส่งไฟฟ้าระหว่างประเทศ
ปัจจุบันมีกรอบปริมาณคามร่วมมือในการซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 10,500 เมกะวัตต์ มีโครงการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 5,935 เมกะวัตต์ จำนวน 11 โครงการ โครงการที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 3,060 เมกะวัตต์ จำนวน 3 โครงการ และโครงการที่ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) แล้ว 815 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โครงการ
ความร่วมมือภายใต้ MOU ดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดที่จะเข้ามาในระบบ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุรวมกว่าหมื่นเมกะวัตต์ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และยังตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกด้วย
การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ Pak Beng จะช่วยลดความผันผวนจากราคาเชื้อเพลิง และช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมให้ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำตลอดอายุสัญญา เนื่องจากโครงการมีต้นทุนผลิตไฟฟ้าที่ต่ำกว่าราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปัจจุบันที่ 4-5 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
อีกทั้ง ภายใต้ข้อกำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการจะต้องมีการใช้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า รวมถึงบุคลากร การจ้างงานและการบริการจากไทย ซึ่งจะ่วยกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ และเป็นไปตามแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ระบุไว้ในแผนรับซื้อไฟฟ้าของประเทศ
โครงการ Pak Beng เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี ไม่มีการกักเก็บน้ำในรูปแบบของเขื่อนประเภทอ่างเก็บน้ำ และไม่มีการเบี่ยงน้ำออกจากแม่น้ำโขง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง โครงการได้รับความเห็นชอบผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมทั้งเรื่องการระบายตะกอนผ่านปลา การโยกย้ายถิ่นฐานของชุมชุนในบริเวณโครงการ และผลกระทบข้ามพรมแดนจากรัฐบาล สปป.ลาวเรียบร้อย
ที่มา – SET
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา