บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 พบว่ามีรายได้รวมอยู่ที่ 35,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4%YoY
ส่วนใหญ่เติบโตจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการโรงงานไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4, โครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) หน่วยที่ 1 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPPs รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้และกำไรของกลุ่ม THCOM เข้ามาในงบการเงินรวมตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2566 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน จากบริษัทในเครือรวม 2,153 ล้านบาท โตขึ้น 6%YoY ส่วนใหญ่มาจาก INTUCH 1,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%YoY อีกทั้งกลุ่ม GJP ราว 579 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%YoY จากโครงการโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงและค่า Ft เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2566 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ที่ 148 ล้านบาท, จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมานที่ 139 ล้านบาท และ จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว Thai Tank Terminal ที่ 59 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง ซึ่ง GULF ได้จำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้ Keppel Group ในเดือนธ.ค. 2565
นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ PTTNGD ลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรายได้ของโครงการดังกล่าวจะผูกกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาค่าก๊าซธรรมชาติ รวมถึงส่วนขาดทุนจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.99 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2566 นี้
- กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 8,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%YoY
- กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 2,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% YoY ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (เป็นผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการ
ทั้งนี้ ณ 30 มิ.ย. GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.76 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.56 เท่าเมื่อสิ้นปีก่อน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวนหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 20,000 ล้านบาท ในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา และมีการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในโครงการ GPD
ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า ภาพรวมปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จากการเปิดดำเนินการของโครงการของ GULF ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งยังคงดำเนินไปตามแผน โดย
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ที่ประเทศเวียดนามได้เปิดดำเนินการครบทั้งสิ้น 128 MW เมื่อเดือนก.ค. 2566
- โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 2 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 662.5 MW มีกำหนดเปิดดำเนินการใน 1 ต.ค. 2566
- โครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 40-50 MW ภายในปีนี้ รวมเป็น 130-140 MW
นอกจากนี้ แนวโน้มค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง จะส่งผลให้กำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ดีขึ้น
ขณะที่ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยภายใต้ Gulf Binance นั้น ปัจจุบันได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วและมีกำหนดเปิดให้บริการภายในสิ้นปี 2566 นี้
ด้านโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่
- โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่จะถมทะเลแล้วเสร็จในปี 2567 โดยมีแผนจะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ต่อทันที
- โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง M6 และ M81 ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568
- โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ในส่วนของธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ภายใต้ธุรกิจดิจิทัล คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกันยายนปีนี้ โดยมีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2568
ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา