เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ร้านพิซซ่าของ บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 2544 และใช้เวลาเพียง 45 วัน ในการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อแก้ปัญหาการถูกฟ้องร้องจากคู่ค้ายักษ์ใหญ่ต่างชาติในอดีต
ผ่านมา 22 ปี เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เป็นเบอร์ 1 ของตลาด 11,000 ล้านบาท ผ่านการครองส่วนแบ่ง 65% ของมูลค่าดังกล่าว แต่ถึงจะเป็นเบอร์ 1 การจะทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ก็คงไม่ดีนักในฐานะผู้ขับเคลื่อนตลาดให้เติบโต
เดอะ พิซซ่า คอมปะนี จึงมีการเปิดแคมเปญใหม่ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสีสันด้วยพิซซ่าถาดยักษ์ หรือหน้าที่หลากหลาย และล่าสุดคือการประกาศทุ่มงบราว 100 ล้านบาท เพื่อรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด
เดอะ พิซซ่า คอมปะนี กับการรีแบรนด์ใหม่
ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และธุรกิจเดลิเวอรี (1112 เดลิเวอรี) เล่าให้ฟังว่า ในฐานะผู้นำวัฒนธรรมการกินพิซซ่าเข้ามาในประเทศไทย และสร้างตลาดนี้ให้คึกคักตั้งแต่วันแรก การจะอยู่เฉย ๆ คงไม่ใช่เรื่องถูกต้อง และนั่นคือการเดินหน้าแผนรีแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ใหม่ทั้งหมด
“เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ค่อนข้างแข็งแกร่งในฝั่งลูกค้ากลุ่มครอบครัว และคนวัยทำงาน แต่สำหรับฝั่งลูกค้าคนรุ่นใหม่ เรายังเข้าถึง และตอบโจทย์พวกเขาไม่ได้มากขนาดนั้น ทำให้การรีแบรนด์ครั้งนี้เราตั้งเป้าว่าจะทำให้ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้ง่ายกว่าเดิม และหวังว่าคนรุ่นใหม่จะเพิ่มจาก 10% เป็น 20% ของสัดส่วนลูกค้า”
สำหรับการรีแบรนด์ของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ
- โลโก้ ที่เปลี่ยนใหม่ ทั้งตัวอักษร และรูปแบบ พร้อมเปลี่ยนมาเน้นสีเขียวที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ
- ยูนิฟอร์ม ของพนักงานมีการเปลี่ยนใหม่ผ่านการร่วมมือกับแบรนด์ Asava เพื่อให้ดูทันสมัย
- รูปแบบตัวร้าน ที่ปรับการออกแบบให้สว่าง และเรียบง่ายมากขึ้น ปีนี้จะเสร็จ 120 สาขา จากทั้งหมด 420 สาขา
เมื่อ 10 ปีก่อน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เคยมีการเปลี่ยนแปลงแบรนด์มาครั้งหนึ่งผ่านการเปลี่ยนโทนสีจากแดงเป็นเขียว การทำแบบนั้นช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าหลักที่มีอายุ 25-45 ปี เอาไว้จนกินสัดส่วน 60% ของลูกค้าทั้งหมด
อยากให้ พิซซ่า เข้าไปอยู่ในทุกโมเมนต์
ขณะเดียวกัน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เตรียมขยายหน้าร้านอีก 40 แห่ง ภายในปีนี้ แต่จะเน้นที่สาขาแบบซื้อกลับบ้านที่มีขนาดเล็ก กระจายอยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์ และสถานีบริการน้ำมัน นอกจากนี้ยังเพิ่มเมนู DIY ในพิซซ่า, พาสต้า และสลัด เพื่อเพิ่มตอบโจทย์ทุกความต้องการของแต่ละลูกค้า
นอกจากนี้ยังเตรียมร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายสินค้า หรืออื่น ๆ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนในมุมการทำสินค้าพรีเมียมออกมาจำหน่าย ก่อนหน้านี้เคยร่วมกับแบรนด์แฟชั่นเพื่อจำหน่ายเสื้อ แต่เวลานั้นทำเพียงอย่างเดียวอาจตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ไม่ได้ จึงต้องสร้างสีสันในมุมอื่น ๆ ด้วย
“คาดว่าจะใช้เวลา 12-18 จะปรับปรุงทุกสาขาให้เป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งจากการปรับปรุงทั้งหมดจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในทุกโมเมนต์ของลูกค้าได้ เพราะปัจจุบันคนไทยกินพิซซ่าเฉลี่ย 2 ครั้ง/ปี โดยเฉพาะเวลาพิเศษ และ Sharing Moment ต่าง ๆ ผ่านราคาเริ่มต้น 279 บาท ได้ถาดกลาง 6 ชิ้น”
นำแบรนด์ไก่ทอดเข้าสู่เมนูหลัก
สำหรับเมนูไก่ทอดแบรนด์ Chick-A-Boom ทาง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้นำเมนูดังกล่าวบรรจุเข้าไปในเล่มเมนูหลัก ไม่ได้ทำการแยกออกมาเป็นแบรนด์ย่อยตามแผนที่ช่วงเปิดตัวเมื่อกลางปี 2565 ได้แจ้งไว้ เนื่องจากเมนูดังกล่าวค่อนข้างเหมาะสมกับการรับประทานควบคู่กับเมนูอื่น ๆ ของร้าน
ด้านทิศทางตลาด Fast Food ในประเทศไทย ปัจจุบันเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากลูกค้าเริ่มกลับมารับประทานในร้านมากขึ้น ไม่ได้สั่งแค่จากช่องทางเดลิเวอรีอย่างเดียว โดยสัดส่วนการจำหน่ายของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี จะมาจากรับประทานในร้าน 35% เดลิเวอรี 35% และซื้อกลับบ้านอีก 30%
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี คือ ลูกค้าที่สั่งเดลิเวอรีมากที่สุดมีการสั่งกว่า 255 ครั้ง/ปี ถือเป็นจำนวนที่มากกว่าปกติ โดยคู่แข่งของแบรนด์ปัจจุบันมี พิซซ่า ฮัท และ โดมิโน่พิซซ่า เป็นต้น รวมถึงร้านพิซซ่าอิตาเลียนรายย่อยต่าง ๆ
สรุป
เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เป็นเบอร์ 1 ของตลาดพิซซ่าอย่างไม่ต้องสงสัย และการปรับปรุงแบรนด์ครั้งใหญ่น่าจะช่วยให้บริษัททำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนเรื่องการเอาชนะตลาดคนรุ่นใหม่ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้ามากแค่ไหน
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา