มาแรงไม่หยุด สำหรับทุนใหญ่ของชาวจีน ไหนจะธุรกิจสีเทาจากคดีตู้ห่าวที่ยังสะสางกันไม่เสร็จ ไหนจะเรื่องแย่งอาชีพ ลดโอกาสการทำมาหากินของชาวไทยในย่านเยาวราช ล่าสุดยังมีจัดแพคเกจทัวร์ VIP ของชาวจีนที่มีตำรวจคอยอารักขาเต็มที่ แต่ ททท. กลับไม่พบว่ามีแพคเกจนี้ขายอยู่
เริ่มที่เรื่องคนไทยถูกแย่งอาชีพก่อน หลังผู้ประกอบการย่านเยาวราชแชร์เรื่องราวกันผ่านโซเชียลมีเดียว่า อัตลักษณ์ของเยาวราชกำลังถูกกลืนกินและค่อย ๆ หายไปเพราะร้านอาหารของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีมายาวนานเริ่มกลายเป็นร้านอาหารที่เจ้าของเป็นนายทุนจีนไปมากกว่าครึ่ง!!
ผู้ประกอบการไทยเริ่มเดือดร้อนแล้ว รู้ยัง?
คำบอกเล่าจากร้านอาม่งหม่าล่า ผู้ประกอบการในเยาวราช บอกว่าคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจแค่ใช้วีซ่าท่องเที่ยวก็ทำได้ แถมยังไม่ต้องแบกรับภาษีอย่างผู้ประกอบการไทย วัตถุดิบที่ใช้ก็มาจากจีน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ตามกฎหมายไทย คนจีนเป็นเจ้าของธุรกิจได้หรือไม่?
กฎหมายไทยอ่อนแอเกินไปหรือไม่ ทำไมจึงไม่สามารถคุ้มครองผู้ประกอบการชาวไทยเชื้อสายจีนที่ทำธุรกิจมาก่อนในย่านเยาวราชได้ทั้งที่ควรให้สิทธิและผลประโยชน์กับคนในประเทศไทยก่อน
กฎหมายของทุกประเทศส่วนใหญ่มุ่งเน้นคุ้มครองและให้สิทธิในการทำธุรกิจของพลเมืองภายในประเทศก่อนเสมอ ถ้าดูตามกฎหมาย ไทยเองก็เข้าข่ายเช่นนั้นพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 บัญชีสาม วรรค (19) ระบุว่า คนต่างด้าวจะประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่มได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนตางด้าวก่อน เพราะธุรกิจร้านอาหารยังถูกจัดอยู่ในบัญชีสาม ซึ่งเป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันกับคนต่างด้าว
เท่ากับว่าหากคนจีนไม่ได้รับอนุญาติให้ประกอบธุรกิจจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนตางด้าวก่อนก็จะไม่สามารถเปิดธุรกิจได้ แล้วทำไมร้านจำนวนมากในเยาวราชปัจจุบันจึงเป็นธุรกิจของชาวจีนไปได้?
ธุรกิจนอมินี แค่มีวีซ่าท่องเที่ยว คนจีนก็เป็นเข้าของธุรกิจได้
ก่อนที่คนจีนจะเข้ามาทำธุรกิจในย่านเยาวราชแข่งกับคนไทยได้ ด่านแรกก็คือการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย วีซ่าของคนจีนที่เข้ามาเป็นวีซ่าท่องเที่ยวซึ่งเคยมีระยะเวลาการพักอาศัยในไทย 15 วัน แต่ปัจจุบันมีมติคณะรัฐมนตรีให้ขยายเวลาเป็น 30 วันแล้ว แต่จุดประสงค์ของวีซ่ายังเหมือนเดิม คือการเข้ามาท่องที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยในระยะสั้น แต่สาเหตุที่คนจีนเหล่านี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจได้ก็เพราะธุรกิจสีเทาที่มีมายาวนานอย่าง ‘ธุรกิจนอมินี (Nominee)’
ธุรกิจนอมินีคือการที่คนไทยที่อยู่ในประเทศไทยเป็นตัวแทนใส่ชื่อจดทะเบียนเป็นเจ้าของธุรกิจแทนนายทุนจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจตัวจริง หรือใส่ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเกินครึ่ง เพราะถ้ามีคนไทยถือหุ้นเกินร้อยละ 51 ก็จะถือว่าเป็นบริษัทไทยและเปิดธุรกิจร้านอาหารได้
เมื่อคนจีนที่ใช้วีซ่าท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยไม่สามารถเปิดธุรกิจเองได้ จึงทำให้มีคนไทยจำนวนมากรับจ้างเปิดธุรกิจเป็นฉากหน้าให้คนจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในขั้นตอนการจดทะเบียน กำหนดให้คนไทยที่ร่วมลงทุนในนิติบุคคลต้องแสดงหลักฐานที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินที่แสดงว่ามีทรัพย์สินเพียงพอที่จะลงทุนในนิติบุคคลได้ โดยบริษัทจำกัดที่จะถือว่าเป็นของคนไทยจะต้องมีคนไทยถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 51 หรือถือหุ้นข้างมาก
ขั้นตอนการจดทะเบียนไม่สามารถป้องกันไม่ให้คนจีนเป็นเจ้าของธุรกิจในไทยได้ แถมยังเป็นช่องโหว่ของกฎหมายให้เกิดธุรกิจนอมินี แค่มีคนไทยเข้ามาเป็นนอมินี ชาวจีนก็สามารถทำธุรกิจได้แล้ว
หลังจากผู้ประกอบการย่านเยาวราชออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เผยว่าการแก้ปัญหานี้ต้องได้รับการตรวจสอบที่เข้มงวดและความร่วมมือจากหลายฝ่าย พร้อมย้ำว่าคนไทยที่ถือหุ้นแทนต่างด้าวหรือร่วมเข้าชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ร่วมลงทุนจริง หรือสนับสนุนให้คนต่างด้าวมาประกอบกิจการในไทยโดยแสดงว่าเป็นธุรกิจของคนไทยเพื่อให้เจ้าของธุรกิจคนจีนสามารถหลีกเลี่ยงกฎหมายได้จะถือว่ากระทำความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 – 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 – 50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน
แต่แม้จะมีกฎหมายลงโทษ แต่ธุรกิจนอมินีก็เหมือนธุรกิจสีเทาอื่นที่ก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน
คนจีนแย่งตลาดคนไทยเพราะทุนหนากว่า แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่กลับสู่จีน
เมื่อคนจีนเข้ามาประกอบธุรกิจไทยในไทยในรูปแบบของเจ้าของคนไทยที่เป็นนอมินีทำให้คนไทยเชื้อสายจีนที่ทำธุรกิจค้าขายอาหารมาก่อนในย่าวเยาวราชถูกแย่งชิงตลาด เพราะนายทุนจีนที่เข้ามามีทุนหนากว่าทำให้สามารถเปิดร้านขายอาหารและเครื่องดื่มขนาดใหญ่และสามารถขายตัดราคาคนไทยได้
เมื่ออาหารของผู้ประกอบการชาวจีนแท้ถูกกว่า ทำให้รายได้ของคนไทยในย่านเยาวราชได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ การจัดหาวัตถุดิบอาหารจีนก็มีแหล่งซัพพลายเออร์ที่หาได้ง่ายอยู่แล้วและต้นทุนยังราคาถูกกว่าด้วยเพราะสามารถสั่งเข้ามาได้ปริมาณมากต่อครั้ง
ในเรื่องภาษีเจ้าของธุรกิจร้ายขายอาหารจำเป็นจะต้องเสียภาษีเงินได้ หรือถ้าหากจดทะเบียนเป็นบริษัทก็จะต้องเสียภาษีตามเกณฑ์ธุรกิจ SME กำไรจากธุรกิจจะถูกนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ถ้าหากมีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี หากมีกำไรสุทธิ 300,000-3,000,000 บาท จะเสียภาษี 15% หากมีกำไรสุทธิเกิน 3,000,000 บาทขึ้นไปจะเสียภาษี 20%
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การที่คนจีนเข้ามาทำธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวและไม่ก่อให้เกิดรายได้กับคนไทย แถมยังเข้ามาตัดราคาและแข่งขันกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ของไทย แม้ว่าการเปิดบริษัทแบบนอมินีจะต้องเสียภาษีบริษัทเช่นเดียวกัน แต่อำนาจในการตัดสินใจดำเนินการของธุรกิจก็อยู่ที่นายทุนจีน รวมทั้งเม็ดเงินและกำไรส่วนใหญ่กลับไหลออกนอกประเทศไทยไปกับนายทุนจีนที่เป็นเจ้าของตัวจริง
เท่ากับว่า การที่คนจีนเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย นอกจากจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กเดือดร้อนเพราะต้องสู้กับนายทุนใหญ่จากจีนแล้วและแบกรับต้นทุนมากมายแล้ว ประเทศไทยเองก็แทบจะไม่ได้อะไรเลยจากผู้ประกอบการชาวจีนและธุรกิจนอมินี
ประเด็นระหว่างไทยและจีนดูเหมือนจะยังไม่มีที่สิ้นสุด ล่าสุดก็เกิดประเด็นตำรวจไทยพานักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศแบบ VIP ที่ทำให้คนไทยตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง ว่าตกลงแล้วธุรกิจสีเทาที่เอื้อให้กับจีนในประเทศไทยจะมีอยู่ทุกแง่มุมของชีวิตเลยหรือไม่ และมีมานานแค่ไหนแล้ว
ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์แบบ “เมืองพี่-เมืองน้อง” อาจจะหมายถึงการเอื้อประโยชน์ให้เกิดธุรกิจสีเทาจากจีนหรือไม่ ขณะที่คนไทยเองกลับไม่ได้รับการคุ้มครองที่ควรได้เพราะกฎหมายไม่เข้มแข็งพอ จนผู้ประกอบการในย่านเยาวราชที่เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาที่มีอิทธิพลมหาศาลเลยต้องออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม
อ้างอิง – อาม่งหม่าล่า, รัฐบาลไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 1, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 2, กรมสรรพากร
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา