บอนชอน คือร้านอาหารกลุ่มแรก ๆ ที่จำหน่ายเมนู ไก่ทอดเกาหลี และตอนนี้ยังเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงเมนูดังกล่าว
ยิ่ง 4 ปีก่อน กลุ่มไมเนอร์ เข้ามาซื้อกิจการ บอนชอน ประเทศไทย ช่วยติดสปีดให้ธุรกิจโตก้าวกระโดด และเป็นหนึ่งในร้านอาหารส่วนน้อยที่มีรายได้เติบโตในช่วงวิกฤติโรคโควิด-19 ระบาด
แล้วปี 2023 ที่ยังมีปัจจัยลบเรื่องเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนต่าง ๆ อยู่ บอนชอน ประเทศไทย จะรับมือกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร Brand Inside ชวนมาศึกษาแผนธุรกิจของ บอนชอน ในปีนี้กัน
บอนชอน กับการก้าวโดดตลอด 4 ปี
ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เล่าให้ฟังว่า บอนชอน ในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง ทำให้บริษัทตัดสินใจซื้อกิจการดังกล่าวเมื่อ 4 ปีก่อน และถึงตอนนี้ บอนชอน กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจร้านอาหารระดับเรือธงของบริษัท
“บอนชอน เติบโตในไทยอย่างรวดเร็วตลอด 4 ปีที่กลุ่มไมเนอร์เข้ามาซื้อกิจการ ทั้งสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านการทำสาขานอกห้าง และเปิดเดลิเวอรีเต็มตัว แต่หลังจากนี้ บอนชอน จะกลับมาเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ร้านรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า พร้อมกับการวางตัวเป็นร้านอาหารเกาหลีมากขึ้น”
อ้างอิงข้อมูลไตรมาส 3 ปี 2022 แบรนด์ บอนชอน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2022 มีรายได้เติบโตราว 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2021 และคาดว่ารายได้ทั้งปี 2022 จะเติบโตในอัตราดังกล่าวเช่นกัน โดย บอนชอน คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 4% จากรายได้รวมธุรกิจร้านอาหารราว 20,000 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2022
ยกระดับภาพลักษณ์สู่ร้านอาหารเกาหลี
บอนชอน ประเทศไทย มีแผนยกระดับภาพลักษณ์ให้ไปสู่ร้านอาหารเกาหลีมากขึ้น จากเดิมที่มีเมนูไก่ทอดเกาหลีเป็นตัวดึงดูด โดยตัวร้านมีการปรับเปลี่ยนการตกแต่งใหม่เป็นรูปแบบ Street Food และเพิ่มเมนูอาหารเกาหลี เช่น หม้อไฟ และยำแบบเกาหลี เป็นต้น
“ตอนนี้เราต้องการกระตุ้นลูกค้าให้เข้ามารับประทานที่ร้าน เพราะ บอนชอน คือ Full Services Restaurant แม้สินค้าหลักของเราคือไก่ทอด แต่เราก็เพิ่มอาหารท้องถิ่นเกาหลีเข้ามาเพื่อเพิ่มความเป็นร้านอาหารเกาหลี และเติบโตในปี 2023 ได้ราว 20% เช่นเดียวกับที่จะทำได้ในปี 2022”
สำหรับในปี 2023 บอนชอน มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม 10-15 สาขา เน้นในศูนย์การค้า จากปัจจุบันมีอยู่ 106 สาขา เพื่อทำให้ได้ 150-200 สาขา ตามเป้าหมายที่ซื้อกิจการเมื่อ 4 ปีก่อน และสาขาของ บอนชอน จะมี 2 การออกแบบคือ Minimal ที่ใช้มาตั้งแต่เปิดธุรกิจเมื่อ 10 ปีก่อน และ Street Food ที่เพิ่งเปิดใหม่
ทำเมนูราคาประหยัดรุกต่างจังหวัดเพิ่ม
ขณะเดียวกัน บอนชอน ยังเปิดตัวเมนูกลุ่มราคาประหยัด เช่น ไก่ทอดขนาด 4 ชิ้น 129 บาท จากเดิมที่จำนวนน้อยที่สุด 6 ชิ้น ทำให้ลูกค้าสามารถเปิดใจทดลองไก่ทอดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด ที่ 10 สาขาที่จะเปิดใหม่จากนี้จะเป็นกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างละครึ่ง
“บอนชอน มีเปิดใน จันทบุรี เชียงราย พิษณุโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ลูกค้าก็ตอบรับดี แต่เราต้องการทำให้ดีกว่านี้ด้วยเมนูที่เข้าถึงง่ายขึ้น แต่จริง ๆ เรามีเมนูที่ราคาต่ำกว่านี้ เพียงแค่ไม่ใช่ไก่ทอดที่เป็นเมนูเรือธงของเรา ยิ่งกระแส Kpop และ Kseries ช่วยดันตลาดอาหารเกาหลีเติบโต เราก็คงพลาดกระแสนี้ไม่ได้”
ปัจจุบันบอนชอนมีลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ย 1 ครั้ง/เดือน ยอดใช้จ่ายในร้านเฉลี่ย 800 บาท/บิล ส่วนเดลิเวอรีอยู่ที่ 400 บาท/บิล นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมสมาชิกที่ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 3 แสนราย หลังจากเริ่มทำเมื่อปลายปี 2022 และหากแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจะมาจากในร้าน 50% เดลิเวอรี 40% และซื้อกลับบ้าน 10%
จ้างพรีเซนเตอร์ จับลูกค้ากลุ่ม Young Gen
ล่าสุด บอนชอน มีการจ้าง ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี เป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ โดยการเดินหน้าแผนนี้เพื่อคงภาพลักษณ์แบรนด์สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ Young Generation ที่เป็นลูกค้ากลุ่มหลักของ บอนชอน มาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในประเทศไทย
“พรีเซนเตอร์จะมาช่วยสื่อสารแบรนด์กับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ยิ่งเราพยายามออกไปต่างจังหวัดมันก็ยิ่งจำเป็น และการสื่อสารครั้งนี้จะมาในรูปแบบแบรนด์ร้านอาหารเกาหลีที่มีเมนูไก่ทอดเป็นตัวดึงดูด ผ่านราคา และการบริหารที่คุ้มค่า ทั้งส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย”
ทั้งนี้ บอนชอน จำหน่ายเมนูไก่ทอดเป็น 60% ของเมนูทั้งหมด โดยที่รองลงมาจะเป็นกลุ่มเมนูอาหารเกาหลีที่หลากหลาย แต่เมนูเหล่านั้นจะถูกปรับให้มีความร่วมสมัย หรือเป็น Fusion Korea Food เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ส่วนภาพรวมตลาดไก่ทอดในประเทศไทยมีมูลค่าราว 20,000 ล้านบาท
สรุป
บอนชอน คือแบรนด์ร้านอาหารที่บุกเบิกเมนูไก่ทอดเกาหลี และสร้างพื้นที่ใหม่ให้กับตลาดไก่ทอดในประเทศไทย ดังนั้นการจะรักษาตำแหน่งผู้นำต่อไป แบรนด์มีความจำเป็นต้องสร้างอะไรใหม่ ๆ ยิ่งตอนนี้เริ่มมีแบรนด์ไก่ทอดเกาหลีทำสินค้ามาแข่งมากขึ้น แม้จะยังมีสาขาไม่มาก แต่หากปล่อยไว้นานอาจสร้างผลเสียให้กับธุรกิจได้ถ้าไม่ทำอะไรเลย
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา