S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือ 4 ธนาคารพาณิชย์ไทย ประกอบด้วย SCB, KBank, KTB และ TTB เหตุหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น-ช่วยเหลือลูกหนี้เยอะ ด้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย ยืนยัน ฐานะการเงินทุกเจ้ายังแข็งแกร่ง
4 ธนาคารพาณิชย์ ถูกปรับลดความน่าเชื่อถือ
รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือ 4 ธนาคารพาณิชย์ ในประเทศไทย ประกอบด้วย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย จาก BBB+ เป็น BBB ส่วน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารทีเอ็มบีธนชาต จาก BBB เป็น BBB-
อย่างไรก็ตาม S&P ยังคงความน่าเชื่อถือของ ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงศรี ที่ BBB+ เพราะธนาคารกรุงเทพ มีความสำคัญอย่างเป็นระบบในประเทศไทย ส่วนธนาคารกรุงศรี ยังได้ประโยชน์จากการเป็นธนาคารภายใต้กลุ่ม มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป
ด้าน รณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ไทย (ธพ.) 4 แห่ง และคงความน่าเชื่อถือไว้ 2 แห่ง ด้วยมีมุมมองว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งกฎเกณฑ์ของทางการเอื้อให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของไทยทำได้มากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้มีลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือจำนวนมาก นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบาง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน
ธปท. ยืนยัน ธนาคารพาณิชย์ไทยยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี S&P จัดให้ ธพ. ทั้ง 4 แห่ง มีแนวโน้มของอันดับความน่าเชื่อถือคงที่ (stable outlook) เนื่องจากยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินกองทุน และมีเงินสำรองในระดับสูง นอกจากนี้เพื่อรักษาสมดุลให้การช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของ ธพ. และเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ติดตามความเสี่ยง คุณภาพสินเชื่อ และฐานะของ ธพ. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบ ธพ. ยังทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ล่าสุด ฐานะการเงินของระบบ ธพ. ไทยยังแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่ร้อยละ 20 โดยระหว่างปี 2563-2564 ธพ. ได้กันสำรองเพิ่มเติม 4.3 แสนล้านบาท สะท้อนความระมัดระวังของ ธพ. ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงสูงข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน เงินสำรองของระบบ ธพ. อยู่ที่ 8.9 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 1.6 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio)
นอกจากนี้ ธปท. ได้ทดสอบระดับเงินกองทุนของ ธพ. (ระหว่างปี 2564-2566) ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าระบบ ธพ. ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงในอนาคต ในระยะต่อไป คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้รายได้และ ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ รวมถึงคุณภาพสินเชื่อของ ธพ. ปรับดีขึ้นเป็นลำดับ
อ้างอิง // ธนาคารแห่งประเทศไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา