การตลาดในโลกยุคดิจิทัล ที่ทุกอย่างสามารถทำได้บน Smartphone Data x Tech จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก และเมื่อ Philip Kotler บิดาแห่งการตลาดยุคใหม่ ได้เปิดตัวหนังสือ Marketing 5.0 : Technology for Humanity ยิ่งช่วยยืนยันว่าเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ Data x Tech Driven Marketing กลายเป็น New Mass ที่ทุกธุรกิจจะต้องทำอย่างเป็นทางการ หลายบริษัทลงทุนวางระบบ สร้างแพลตฟอร์มต่างๆ แต่แท้จริงแล้วหัวใจของการทำการตลาดยุค 5.0 ไม่ใช่แค่เพียงการเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงถูกที่ถูกเวลาเท่านั้น เพราะในเวลาที่ทุกคนต่างทำ targeted communication เหมือนกันหมด สิ่งที่เป็น Game Changer คือ ความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกและมีคาแรกเตอร์ของแบรนด์ที่ชัดเจน การทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่าง Data x Tech x CRM x Business X Creative จึงมีความสำคัญอย่างมาก
The 1 บริษัทในเครือของ Central Group ที่ถูกจับตามองไม่น้อยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน Data x Tech Driven Marketing เป็นอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การเปลี่ยนผ่าน หรือ Transform องค์กรจาก The 1 Card ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกเพื่อสะสมแต้มมาสู่การเป็น The 1 แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต่อยอดได้อย่างมหาศาล
ไม่ใช่เพียงแค่ภายนอกที่เปลี่ยน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การทำงานของพนักงานทุกคนภายในองค์กรก็แตกต่างไปจากเดิม และทำให้ The 1 กลายเป็นหนึ่งใน Tech Company ที่น่าสนใจของประเทศไทย มีการใช้ Data หรือข้อมูลอย่างเข้มข้นในทุกส่วน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ครั้งนี้ Brand Inside ได้พูดคุยกับ 5 หนุ่มตัวแทน The 1 ที่แตกต่างแต่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ที่จะมาไขความลับแนวคิด การทำงาน จนผลักดันให้ของ The 1 ประสบความสำเร็จเป็นผู้นำด้าน Digital lifestyle & loyalty platform ที่ทั้งตอบโจทย์ลูกค้าและตอบโจทย์ทางธุรกิจให้กับแบรนด์ต่างๆ ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย
- ชญานิน สราญสมฤทัย Head of CRM Strategy
- จามร ฉัตรเสถียรพงศ์ Head of Data Analytics
- มวลอนนต์ พูนศรีพัฒนา Head of Branding & Communication
- ปภัส ศรีมัธยกุล Head of Product
- ธฤต ศิริพรธนากุล Business PMO & Strategy Principal
แต่ต้องย้ำว่า ความสำเร็จนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ยังมีแผนการสนุกๆ ที่น่าติดตามอีกเพียบในอนาคต
Data x Tech Driven Marketing พื้นฐานการทำงานของทุกทีม
ชญานิน เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า แนวคิดการผสมผสานระหว่าง Technology และ Humanity เป็นสิ่งที่ The 1 ยึดเป็นหลักในการทำงานมาโดยตลอดตั้งแต่การทรานส์ฟอร์มองค์กร ซึ่งอาจเรียกได้ว่าตรงกับคอนเซ็ปต์ของ Data & Tech Driven Marketing ตามที่ Phillip Kotler บิดาแห่งการตลาดยุคใหม่ระบุไว้ในหนังสือ Marketing 5.0: Technology for Humanity ซึ่งเมื่อก่อนหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับบัตรสะสมคะแนน The 1 Card หรือบอกเบอร์ The 1 แต่ตอนนี้ ได้ทรานส์ฟอร์มทั้งชื่อแบรนด์และรูปแบบประสบการณ์ที่มาในรูปแบบแอปพลิเคชั่น
“การเปลี่ยนแปลงจาก The 1 Card มาเป็น The 1 คือการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าครั้งสำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมจาก Plastic Loyalty Card เป็น Digital Lifestyle App รวมถึงโครงสร้างองค์กรและวิธีการทำงาน ที่ใช้ Data เป็นพื้นฐานการทำงานของทุกทีมเพื่อนำไปพัฒนาบริการให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุด”
จามร เสริมว่า ทุกทีมใน The 1 จะใช้ Data ที่มีการสร้าง Single View of Customer (SVOC) เพื่อให้ทุกทีมมองภาพเดียวกัน นำไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ จะได้รู้ว่า มีลูกค้ากลุ่มไหนบ้าง มีความสนใจอะไร ชอบซื้ออะไร ทั้งหมดจะช่วยสนับสนุนการออกแคมเปญการตลาดที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ปภัส เสริมว่า การจะสร้าง SVOC จำเป็นต้องมีข้อมูลเยอะๆ เพื่อทำให้เรารู้จักลูกค้าได้ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา The 1 จะมีข้อมูลที่เป็นออฟไลน์เป็นหลัก การสร้างเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างแอป The 1 ทำให้ได้ข้อมูลออนไลน์ด้วย และสามารถนำมาเชื่อมต่อกัน และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนา App experience ให้ลูกค้าใช้เวลากับ The 1 นานๆ และข้อมูลเหล่านี้ยังช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้น
ด้าน มวลอนนต์ ได้แชร์มุมมองในฐานะคนที่ทำงานด้านครีเอทีฟว่า ที่ The 1 จริงจังกับ Data Insight และมีทีม Data Scientist ขนาดใหญ่ที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เนื่องจาก data เป็นเหมือนพื้นฐานในการทำงานทุกภาคส่วน แม้กระทั่งในเรื่อง creative หรือการทำ communication ก็ต้องเข้าร่วม training เรื่อง data visualization เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเข้าใจ และยังสามารถช่วยนำความคิดสร้างสรรค์มาช่วยสื่อสารภายในให้พนักงาน The 1 และ Business Unit อื่นๆ เข้าใจและเห็นความสำคัญของ SVOC เช่น จัดกิจกรรม หมอดู 4.0 ทายนิสัยจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าของพนักงาน เป็นต้น
ทั้งหมดคือสิ่งที่ The 1 Application ซึ่งเป็น Digital Channel ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด และนำไปสู่การเชื่อมออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
The 1 องค์กรที่ Transform ตัวเองและใช้แนวคิด Agile ในการทำงาน
แนวคิดเรื่อง Agile ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากเดิมที่แบ่งแผนกต่างๆ ออกเป็น Silo ซึ่งอาจจะตอบโจทย์กับบางองค์กร สำหรับ The 1 ที่ได้ Transform ตัวเองเป็น Digital Lifestyle & Loyalty Platform อย่างเต็มตัว ก็ได้นำแนวคิด Agile เข้ามาปรับใช้ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล
ปภัสเล่าว่า The 1 มีการปรับโครงสร้างไปพร้อมๆ กับสิ่งสำคัญอย่าง Mindset ของพนักงานเพื่อรองรับ Agile และใช้วิธีการทำงานแบบ Squad คือ การทำงานแบบทีมที่รวมสมาชิกที่มีความสามารถหลากหลายไว้ด้วยกัน เพื่อทำงานให้ได้ตามเป้าหมายหรือ Objective ที่วางไว้หลายๆ โจทย์ได้พร้อมกัน ซึ่งแต่ละ Squad จะมีโฟกัส และสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว และทั้งหมดมีทีม Center of Excellence หรือ COE คอยดูแลอีกครั้งเพื่อส่งเสริมการทำงานของ Squad ให้เป็นไปตามทิศทางเดียวกัน ซึ่งในฝั่ง product การทำงานแบบ Squad ช่วยทำให้ธุรกิจเดินไปได้ไวขึ้น ช่วยลดปัญหาคอขวดหรือต่อคิว และมีความคล่องตัวมากขึ้น
“การทำงานแบบ Agile จะให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและตอบโจทย์ที่สุด และลดความสำคัญของ Perfect หรือความสมบูรณ์ลง เพื่อส่งบริการใหม่ๆ ทดลองและเรียนรู้ตลาด โดยแต่ละ Squad จะมีการคุยกันตลอดเพื่อดูว่าแต่ละ Squad กำลังเดินไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องปรับทันที”
ชญานินเสริมว่า ที่ The 1 จะมีการตั้ง Squad ขึ้นตาม objective ที่ธุรกิจให้ความสำคัญ เช่น Squad ที่ดูแลกลุ่มลูกค้าแม่และเด็ก หรือกลุ่ม wealth โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของเครือเซ็นทรัล และแต่ละ Squad จะมีสมาชิกจากหลายทีม เช่น Marketing, Data, Product ฯลฯ ทำงานภายใต้เป้าหมายเดียวกัน สิ่งที่ได้คือ ทีมจะมีความคล่องตัวสูง สามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว สมาชิกใน Squad จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องมากขึ้น และทั้งหมดทำงานภายในทิศทางเดียวกัน
แตกต่างหลากหลายแต่กลมเกลียวเป็นหนึ่ง
ในแต่ละ Squad ที่มีคนหลากหลาย Specialty มี Background ที่แตกต่างกัน แต่ต้องทำงานบน objective เดียวกัน ทำให้ได้ถกเถียง พูดคุย เติมเต็มซึ่งกันและกัน มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น และเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุก Squad ในองค์กร จะมีการประชุม ที่ The 1 เรียกว่า “จิ้มจุ่ม” ที่จัดเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อให้ทุกสควอทและทีมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์ประสบการณ์และหาทางออกร่วมกัน และมีการประชุมรายเดือนเรียกว่า “บุฟเฟต์” เพื่ออัปเดตงานในภาพที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เห็นการเคลื่อนตัวของแต่ละทีมที่ติดสปีดเดินอย่างรวดเร็ว และสามารถเชื่อมโยงเป็นภาพเดียวกันได้เสมอ
มวลอนนต์เสริมว่า ในขณะที่ Squad มีโฟกัสเฉพาะเรื่อง COE หรือ Center of Excellence จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นการรวมตัวกันของ Specialist ตามฟังก์ชั่น เช่น Communication, Data, Business, Technology และ Finance เพื่อคอยซัพพอร์ตการทำงานของ Squad ในเรื่องนั้นๆ ทำให้ภาพรวมการทำงานออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยกตัวอย่างการดึงความเชี่ยวชาญของแต่ละคนมาช่วยกันทำงานเพื่อเปิดตัว The 1 Application ทั้งจาก Data, Product เพื่อทำแคมเปญสื่อสาร ที่ใช้ข้อมูลและลูกเล่นการ Personalization ทำให้งานออกมามิติมากขึ้นโดยไม่ได้ออกมาจากมุมมองของคนทำด้านสื่อสารเพียงอย่างเดียว
“นี่คือสิ่งที่สะท้อนความหลากหลายของ The 1 ได้ชัดเจน เพราะในองค์กรที่มีความแตกต่างหลากหลาย นี่คือพลังแห่งการ Diverse แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความ Cohesive นั่นคือ ทำความเข้าใจเพื่อทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่นและไปสู่เป้าหมายเดียวกัน แน่นอนว่าทั้งหมดอยู่บนแนวคิด Agile”
จามร บอกว่า ที่ The 1 มีวัฒนธรรมการทำงาน ที่เปิดกว้างเหมือนอยู่มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ผู้บริหาร หัวหน้าทีม และพนักงานทุกคน สามารถพูดคุยกันได้ เปิดกว้างรับทุกไอเดีย ไม่มีลำดับชั้น ทำให้การทำงานคล่องตัว
นอกจากนี้ ยังมีการตั้ง Culture Squad เพื่อดูแลเรื่องวัฒนธรรมองค์กรโดยเฉพาะ เป้าหมายคือ สร้าง environment ให้องค์กร ให้พนักงานที่หลากหลาย ได้มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น The 1 Town Hall, โต้วาที, ออกกำลังกาย, Happy Friday mini party หรือ กิจกรรมเปิดกล้องนั่งคุยกันวันศุกร์เย็นช่วง Covid เป็นต้น
เรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย คือการเรียกผู้บริหาร ว่า “พี่” ตั้งแต่ระดับ President, MD และ Head ทุกคน ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างผู้บริหารและพนักงานน้อยลง และ President ยังลงมาดู Culture Squad ด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นว่าใส่ใจเรื่อง Culture จริงๆ
ความเปลี่ยนแปลงเกิดทุกวัน ต้องพร้อมรับมือ
จามร เล่าว่า การทำงานแบบ Squad และ COE ของทีม Data จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ทั้งเรื่องการโฟกัส ความลึก และความรวดเร็ว จากเดิมที่ทีม Data ต้องรับข้อมูลมาจากทุกทางเพื่อวิเคราะห์ แต่ลูกค้ามีความหลากหลายสูงมาก ข้อมูลก็เยอะตามไปด้วย และต้องทำงานซัพพอร์ตหลายทีม ดังนั้นทีม Data ก็อาจจะไม่อินกับโจทย์ที่ได้รับ แต่เมื่อปรับวิธีการทำงาน มีทีม Data อยู่ใน Squad ต้องศึกษาเรื่องนั้นมากขึ้น ลงลึกมากขึ้น เข้าใจพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น และสามารถคุยตรงกันได้เองภายใน Squad ไม่ต้องผ่านขั้นตอนแบบเดิม นำไปสู่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
“การจะทำ Data ให้ดี ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า การทำงานแบบ Squad และ Agile ช่วยให้มีเวลาลงลึกในรายละเอียดและอินกับข้อมูลมากขึ้น และทำให้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ”
ธฤต บอกว่า ในมุมของ Business ที่ต้องออกไปขาย Solutions ให้กับลูกค้า ซึ่งมีความต้องการไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว การทำงานแบบ Agile มีส่วนช่วยเพิ่มความคล่องตัว เมื่อมีความต้องการใหม่ๆ เกิดขึ้น ทีมหลังบ้านก็พร้อมจะหา Solution ใหม่ๆ ให้ได้ตลอด
เช่นเดียวกับลูกค้า หรือ end user กล่าวได้ว่า ลูกค้าเปลี่ยนตลาดก็เปลี่ยน สิ่งที่ทำอยู่อาจไม่เวิร์คแล้ว ถ้าไม่ปรับ ประสิทธิภาพก็ลดลง ดังนั้นทุกคนที่ทำงานที่ The 1 ต้องมี Mindset ที่เป็น Agile มีความตื่นตัว เปิดกว้างพร้อมเปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวไปข้างหน้า ถ้าใครที่ชอบอยู่ในเซฟโซน ทำงานแบบเดิมๆ ก็อาจไม่เหมาะ
ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตกับผู้บริหาร ที่รับฟังทุกคนทุกระดับอย่างแท้จริง หลายครั้งไอเดียที่นำมาพัฒนาจริง มาจากพนักงานตัวเล็ก ที่มองเห็นและสัมผัสปัญหามาจริงๆ นี่คือ สิ่งที่ยืนยันว่า Agile ช่วยให้การทำงานดีขึ้น
Agile จากภายในสู่ภายนอก
ชญานิน บอกว่า การทำงานของ The 1 แบ่งเป็น 3 Layer หลัก อันดับแรกคือ การทำงานด้วยกันภายใน The 1 ซึ่งเป็นตามโครงสร้างองค์กรตามที่เล่ามา ส่วน Layer ที่ 2 คือ การทำงานกับองค์กรภายในเครือ Central Group ซึ่งทำให้ดูแลลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ส่วน Layer ที่ 3 คือการทำงานร่วมกับพันธมิตรนอกเครือ
ธฤต เสริมว่า ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่า การทำงานระดับ 2 Layer แรกประสบความสำเร็จด้วยดี ภายใน The 1 ทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจอย่างแข็งแกร่ง การทำงานกับองค์กรภายในเครือต่อไปจะลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่า The 1 สามารถเพิ่มพลังการทำงานภายในองค์กรได้ เสริมพลังให้กับบริษัทในเครือได้ และตอนนี้กำลังทำงานกับพันธมิตรอีกกว่า 2,000 แบรนด์ที่ใช้ Solution ของ The 1 เพราะการรักษาฐานลูกค้า หรือ CRM ใช้ต้นทุนต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่ 5-6 เท่า”
เพราะ The 1 คือ Loyalty Platform ที่ได้มาตรฐาน แบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าร่วมและใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนใหม่ ที่สำคัญคือ มี Data ที่สะท้อน Insight ของลูกค้าได้ทันที และปิดท้ายด้วย Media ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากแบบเฉพาะบุคคล ดังนั้น เมื่อเข้าร่วม ecosystem กับ The 1 แบรนด์ต่างๆ จะสามารถสร้างยอดขายได้ทันที ช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้นจาก Data และในระยะยาว จะมี Customer Lifetime Value (CLV) ที่ดีขึ้น เช่น ปั๊มน้ำมันที่ร่วมมือกับ The 1 วันแรกก็สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการลูกค้าที่เติมน้ำมันเพื่อสะสมคะแนน ซึ่ง The 1 มีอัตราการ redeem เฉลี่ยสูงถึง 90%
ข้อมูลยังได้แสดงให้เห็นพฤติกรรมว่า ลูกค้าที่เติมน้ำมัน มีการซื้อสินค้าที่ Tops เป็นประจำ ทีมงานจึงสามารถจัดแคมเปญ สิทธิพิเศษร่วมกันได้ทันที และยังพบอีกว่า ลูกค้าชอบเติมน้ำมันในวันศุกร์ ทำให้สามารถวางแผนการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมลูกค้าได้ดีขึ้นด้วย
การมี Data ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีทีม Data Scientist วิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องแม่นยำ ทำให้สามารถออกแคมเปญได้อย่างรวดเร็ว ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพ
หลายคนอาจสงสัยว่า The 1 มีการทำงานเป็น Agile และ Squad แบบนี้พันธมิตรที่มาร่วมมือกันต้องทำงานเป็น Squad และ Agile หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็น เพราะด้วยความ Agile นี้เองทำให้ The 1 มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับการทำงานให้เข้ากับคู่ค้าได้ทุกรูปแบบ หลายแบรนด์เข้ามาร่วมมือกับ The 1 ก็เข้าสู่ Loyalty Program ได้ทันที หลายแบรนด์เข้ามามีการสร้างแคมเปญใหญ่ ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปภัส ย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า อยู่ในระบบของ The 1 มีความปลอดภัยสูงที่สุด และมีการขอ Consent ลูกค้าเพื่อเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมาย PDPA จึงไม่มีการเปิดเผย Identity หรือข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า แม้แต่กับพนักงาน The 1 เองก็ตาม
The 1 Application ความสำเร็จก้าวแรกกับ 1 ปีที่ผ่านมา
ด้วยความที่ The 1 ปรับตัวทรานสฟอร์มตัวเองก่อนที่จะเกิดโควิด ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ และด้วยประสิทธิภาพของ Squad ทำให้สามารถสร้าง experience บนแอปและฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน The 1 มีฐานลูกค้ารวมกว่า 19 ล้านคน และมียอดดาวน์โหลดแอปกว่า 4 ล้านครั้ง มี Monthly Active User บนแอปกว่าล้านคน เรียกว่า 1 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด มีลูกค้าแลกและใช้คูปองในแอปเพื่อไปซื้อของ สร้างยอดขายผ่านคูปองได้เป็นหลักร้อยล้านบาทในแต่ละเดือน ซึ่งถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีมาก โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าที่เคยใช้บริการที่หน้าร้านมาอยู่บนแอปได้ถึง 1 ใน 3
ด้วยความที่ The 1 เป็น Platform เป็น Digital Product ทำให้ไม่มีจุดสูงสุด และมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ตามพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า นึ่จึงเป็นความสำเร็จแรกเท่านั้น และยังจะมีความสำเร็จอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ ในอนาคต
ชญานิน บอกว่า อีกหนึ่งความสำเร็จที่เห็นเป็นรูปธรรมในมุมของลูกค้า คือ ทุกคนสะสมคะแนน the 1 บ่อยขึ้น เข้าใช้งานแอปบ่อยขึ้นด้วย แสดงว่า The 1 สามารถดึงคนเข้ามา Engage ได้ดีขึ้น มี Smooth Journey และนำไปสู่ Conversion ได้จริง
สรุป
The 1 เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่ Transform ตัวเองอย่างชัดเจน วางโครงสร้างการทำงานแบบ Agile ตั้ง Squad ขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่ตรงกันของพนักงานทุกคน มีการใช้ Data และ Technology เพื่อมอบประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างลงตัว และทั้งหมดได้พิสูจน์ว่า การทำงานที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย (Diverse) แต่มีเป้าหมายหนึ่งเดียวกันอย่างเหนียวแน่น (Cohesive) และทำงานอย่างคล่องตัว (Agile) คือปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา