ดีแทครายงานกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (นิยามจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ลบด้วยค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรือCAPEX) ในไตรมาส 1/2560 ที่แข็งแกร่งคิดเป็น 2.4 พันล้านบาท โดยรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) และกำไรสุทธิฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนโดยอยู่ที่ 1.62 หมื่นล้านบาท และ 229 ล้านบาท ตามลำดับ
ในไตรมาสที่ 1/2560 EBITDA อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากการอุดหนุนค่าอุปกรณ์มือถือ และค่าใช่จ่ายการดำเนินงานของโครงข่าย (Network OPEX) อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้น 110bps จากปีก่อน คิดเป็น 34.9% ของรายได้รวม ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/2560 ลดลง 82% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งที่ 2.4 พันล้านบาท ลดลงจาก 2.6 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ไตรมาส 1/2560 ดีแทคยังคงลงทุนอย่างหนักในโครงข่ายเพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการใช้บริการข้อมูล จำนวนสถานีฐานเพิ่มขึ้น 17,500 สถานีจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีการขยายโครงข่าย 4G อย่างต่อเนื่อง และลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือที่ดีขึ้นบนเครือข่ายของดีแทค นอกเหนือจากนี้ ดีแทคได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการนำซูเปอร์สตาร์ชื่อดังมาเป็นตัวแทนถ่ายทอดประสบการณ์ Super 4G ที่ลื่นไหล ไม่สะดุด เป็นครั้งแรกบนภาพยนตร์โฆษณาทางทีวีและแคมเปญตามสื่อดิจิทัลต่างๆ ในชุด “ลื่น…จ๊ะ” เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ของโครงข่าย ความพอใจของลูกค้าต่อคุณภาพโครงข่ายดีแทคที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการสำรวจของหลายบริษัท อีกทั้งดีแทคยังได้เปิดตัวแบรนด์แพลตฟอร์ม ‘FLIP IT – แค่พลิก ชีวิตก็ง่าย’ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งทางการตลาด และสร้างความแตกต่างฉีกตัวเองจากบริษัทคู่แข่งต่างๆ รวมถึงการเปิดตัวของแพ็กเกจ “Go โน ลิมิต” และซิมเติมเงิน “Go เพลิน”
แคมเปญทั้งสองได้ช่วยสนับสนุนการเติบโตในส่วนของรายได้จากบริการระบบรายเดือน โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 195,000 เลขหมายระหว่างไตรมาสแรกของปี 2560 นอกเหนือจากนี้ ในส่วนของรายได้จากบริการระบบเติมเงินเริ่มที่จะมีเสถียรภาพดังเห็นได้จากรายได้เฉลี่ยจากการให้บริการต่อวันที่ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ ดีแทคได้ปรับปรุงโปรแกรมดีแทค รีวอร์ด เพื่อสร้างความภักดีต่อสินค้าให้กับผู้ใช้บริการดีแทค และในเวลาเดียวกันเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้จ่ายให้ดีขึ้นดังเห็นได้จากค่าใช้จ่ายทางการขายและการตลาดที่ลดลง
ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2560 ฐานจำนวนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 24.3 ล้านเลขหมาย มากกว่า 96% ของจำนวนนี้ได้ลงทะเบียนภายใต้ดีแทคไตรเน็ต (DTN) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดีแทคไตรเน็ตเป็นบริษัทย่อยที่ถือใบอนุญาตให้บริการคลื่น 2100 MHz จาก กสทช. รายได้จากการให้บริการข้อมูลยังคงเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 64% ของรายได้รวมจากการให้บริการไม่รวม IC ดีแทคถือครองคลื่นความถี่ที่แข็งแกร่งโดยมีแบนด์วิดท์กว้างถึง 50 MHz และให้บริการ Super 4G บนคลื่น 1800MHz กว้างสุด 20 MHz บนคลื่นเดียว ทำให้ดีแทคอยู่ในสถานะที่ดีที่สามารถรองรับการเติบโตของความต้องการด้านข้อมูลและสามารถให้บริการไร้สายที่ดีที่สุดต่อลูกค้าบนเทคโนโลยีโครงข่าย 2G/3G/4G
ดีแทคยังคงประเมินแนวโน้มปีพ.ศ. 2560 ดังนี้ (1) รายได้จากการบริการไม่รวม IC อยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน (2) EBITDA อย่างน้อยอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน และ (3) CAPEX อยู่ในช่วง 1.7 – 2 หมื่นล้านบาท
นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เรายังคงเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากการให้บริการข้อมูลและส่วนของรายได้จากบริการระบบรายเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของคุณภาพโครงข่ายและการรับรู้ภาพลักษณ์ของเรา ในส่วนของรายได้จากบริการระบบเติมเงินเริ่มที่จะมีเสถียรภาพดังเห็นได้จากการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อวันที่ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การเปิดตัวแคมเปญภาพยนตร์โฆษณาในชุด “ลื่น…จ๊ะ” และแบรนด์แพลตฟอร์ม ‘FLIP IT – แค่พลิก ชีวิตก็ง่าย’ ได้ช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของการรับรู้ภาพลักษณ์ของโครงข่าย และตำแหน่งทางการตลาดของเรา และยังช่วยทำให้ดีแทคเป็นแบรนด์ดิจิทัลอันดับ 1 ของประเทศไทยภายในปีพ.ศ. 2563 นอกเหนือจากนี้ เรายังคงลงทุนอย่างหนักในโครงข่ายเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตบนมือถือ ท้ายที่สุดนี้ค่ากระแสเงินสดและฐานะทางการเงินของเรายังคงแข็งแกร่ง”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา