การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภคนั้นกระทบหลากหลายวงการจริงๆ อย่างกลุ่มค้าปลีกที่เคยนำเสนอไปก็คือหนึ่งในนั้น และตอนนี้ลองมาดูฝั่งธนาคารกันบ้าง เพราะล่าสุดเครือธนาคาจากสหราชอาณาจักรก็เจอออนไลน์เล่นงานเหมือนกัน
เครือธนาคาร Lloyds ทยอยปิดสาขา
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กลุ่มธนาคารที่ถูกพิษออนไลน์เล่นงานคือ Lloyds Banking Group เครือธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหราชอาณาจักร ผ่านสาขาทั้งหมดกว่า 2,000 แห่ง และมีพนักงานมากกว่า 75,000 คน โดยล่าสุดทางเครือธนาคารนี้เตรียมปิดสาขาอีก 100 แห่ง ทำให้พนักงานจะถูกเลิกจ้างทันที 325 ตำแหน่ง
โดยการปิดสาขา 100 แห่งจะประกอบด้วยธนาคาร Lloyds 54 แห่ง, Halifax 22 แห่ง และ Bank of Scotland 24 แห่ง ถือเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากกลุ่มธนาคารอื่นๆ เช่น Barclays, HSBC, และ Santander ที่ปิดสาขารวมกันกว่า 17,000 แห่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันไม่ใช่ครั้งแรกที่ธนาคารเดินเกมปิดสาขา เพราะในเดือนก.ค. 2559 ก็ได้ปิดสาขาไป 200 แห่งแล้ว เพื่อรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายของทางธนาคาร และปีนี้จะปิดให้สาขาให้ครบ 400 แห่ง พร้อมกับเลิกจ้างพนักงานให้ครบ 12,000 ตำแหน่ง ตามแผนควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ.2558-2560)
ย่อส่วนสาขาเดิมให้เล็ก ใช้ Tech ช่วย
สำหรับสาขาที่เหลืออยู่ ทางกลุ่มธนาคาร Lloyds เตรียมลดจำนวนพนักงาน รวมถึงพื้นที่ลง ผ่านการใช้พนักงานเพียง 2 คน พร้อมกับให้ Tablet ในการช่วยเหลือลูกค้าในการให้คำปรึกษาต่างๆ แทน ส่วนการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินสด และเช็ค จะให้เทคโนโลยี Self-Service Machine หรือการบริการด้วยลูกค้าผ่านตู้อัจฉริยะแทน
มากไปกว่านั้น การให้คำปรึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์ของธนาคารบางตัว เช่นสินเชื่อที่พักอาศัย ก็สามารถสอบถามพนักงานที่เชี่ยวชาญผ่าน Video Call ภายในสาขาแทน ซึ่งเหตุผลของการพัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ขึ้นมา นอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังรับกับกระแสของผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Online Banking กันมากขึ้น
สรุป
การใช้บริการ Online Banking ส่งผลกระทบในวงกว้าง และกลุ่มธนาคารในประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะล่าสุดถึงเดือนก.พ. ก็มีธนาคารปิดสาขาไปแล้วรวมกว่า 30 แห่ง จากสาขาทั่วประเทศเกือบ 7,000 แห่ง นั่นก็เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป และการไปทำธุรกรรมที่สาขาคงไม่ใช่คำตอบในขณะนี้
อ้างอิง // Reuters, The Guardian
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา