รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารและข้อมูลข่าวสารเผย วัคซีนคือความสำคัญอันดับแรกที่ประเทศสิงคโปร์ให้ความสำคัญ ถ้าพูดถึงวัคซีนต้าน COVID-19 สำหรับประเทศสิงคโปร์แล้วถือว่ามีความตื่นตัวและให้ความสำคัญต่อการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนในประเทศได้โดดเด่นไม่แพ้ใคร
สิงค์โปร์เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ได้รับวัคซีนจาก Pfizer และ BioNTech และลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ก็เป็นผู้นำคนแรกในอาเซียนที่ฉีดวัคซีนต้าน COVID โดสแรกและยังเตรียมเปิดประเทศปลายปี 2564 นี้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกด้วย
- วัคซีนต้านโควิด-19 ถึงสิงคโปร์แล้ว ประเทศแรกในเอเชียที่ได้รับวัคซีนจาก Pfizer และ BioNTech
- ผู้นำคนแรกในอาเซียน ลี เซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ ฉีดวัคซีนต้านโควิดโดสแรกแล้ว
- สิงคโปร์เตรียมเปิดประเทศปลายปี 64 พร้อมสร้างความมั่นใจให้ประชาชนกล้าฉีดวัคซีน
S Iswaran รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารและข้อมูลข่าวสารให้สัมภาษณ์ผ่านรายการของ CNBC ว่า สิงคโปร์จำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมสำหรับทำควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนด้วย เพื่อจะเปิดประเทศให้มีการท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ ซึ่งมาตรการที่เหมาะสมนั้นมีทั้งการฉีดวัคซีนที่จำเป็นมาก แต่การฉีดวัคซีนก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง สิงคโปร์ยังต้องมีมาตรการตรวจโรคที่แข็งแกร่ง มีมาตรการจัดการที่ปลอดภัยและทรงประสิทธิภาพ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้เศรษฐกิจเปิดกว้างมากขึ้น ประเทศก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ สามารถทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการข้ามพรมแดนหรือการเดินทางได้
นอกจากนี้ รัฐมนตรี Iswaran ยังกล่าวว่า วัคซีนถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ของชาติ มันจะช่วยให้สิงคโปร์ฟื้นตัวและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับไปอยู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิด COVID ระบาดได้ แต่กระบวนการทุกอย่างจะต้องเข้ามาเกี่ยวพันกันทีละเล็กละน้อยและใช้เวลา มันเป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ ปฏิวัติกระบวนการไปทีละขั้น มากกว่าจะปฏิวัติทีเดียว ม้วนเดียวจบ
ทั้งนี้ ในเรื่องการเข้าและออกประเทศสิงคโปร์นั้น สามารถทำได้เพียงแค่โชว์แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนที่ระบุใบรับรองดิจิทัลว่าได้มีการตรวจ COVID แล้วเรียบร้อย ในอนาคตก็จะมีใบรับรองยืนยันด้วยว่ามีการฉีดวัคซีนต้าน COVID แล้ว
ขณะนี้หลายประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อังกฤษ ฯลฯ ล้วนมีแนวคิดเดียวกัน คือการออกใบรับรองยืนยันสุขภาพแบบดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางในต่างประเทศ แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็คือความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างกันได้
เรื่องนี้ Iswaran ระบุว่า เรื่องพาสปอร์ตวัคซีนนั้นเปิดกว้างในเรื่องของการตีความเมื่อถูกนำมาใช้งาน ซึ่งก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการตีความผิดได้ แต่สิ่งที่เขายืนยันคือ ทางสิงคโปร์พยายามจะหาทางจัดการเกี่ยวกับเรื่องการฉีดวัคซีนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้องการให้รับรู้หรือค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจร่วมกัน ตัวเลขล่าสุดของสิงคโปร์ มีการฉีดวัคซีนไปแล้วราว 375,605 คน
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา