Toyota เปิดบริการเช่ารถระยะยาว Kinto มา 1 ปีเศษแล้ว แต่ถึงจะพยายามโปรโมทแค่ไหน ก็เหมือนจะมีแต่กระแสลบมาตลอด Brand Inside จึงชวนมาคำนวนว่าสรุปเช่ารถกับ Kinto หรือซื้อขาดอันไหนจะคุ้มกว่ากัน
Yaris ATIV แบบเช่ายาวกับ Kinto
การเปรียบเทียบการเช่ารถกับ Kinto และการซื้อขาดกับดีลเลอร์ Toyota ทาง Brand Inside ขอเอาตัวแปรการขับขี่ปีละไม่เกิน 25,000 กม. มาเป็นตัวตั้ง เพราะโดยปกติใน 1 ปี เจ้าของรถยนต์น่าจะต้องบำรุงรักษาทุก 10,000 กม. ปีละ 2 ครั้ง รวมถึงการเอาตัวแปรการใช้รถยนต์ไม่เกิน 48 เดือน (4 ปี) มาเป็นตัวตั้งเช่นกัน
สำหรับ Toyota Yaris ATIV การทดลองครั้งนี้ได้เลือกรุ่น Entry ราคา 539,000 บาท โดยหากเซ็นสัญญาเช่า 48 เดือน กำหนดวิ่งปีละไม่เกิน 25,000 กม. จะมีค่าเช่าที่ 11,390 บาท/เดือน รวมตลอดสัญญา 48 เดือนจ่ายไปทั้งหมด 546,720 บาท มากกว่าราคาขายของรุ่นนี้ 7,720 บาท
การจะขับรถยนต์ออกจากโชว์รูมต้องเสียค่าประกันความเสียหายคือจำนวนเงิน 2 เท่าของค่าบริการรายเดือน (ได้คืนหลังสิ้นสุดสัญญา) ในที่นี้คือ 22,780 บาท เมื่อรวมค่าเช่าเดือนแรกจะเป็นเงิน 34,170 บาท แต่จะได้ฟรีเช็คระยะ, เปลี่ยนแบต-ยาง, ประกันภัยชั้น 1 รวมถึงบริการจดทะเบียน, ต่อภาษี และ พ.ร.บ. ประจำปี ตลอดอายุสัญญา
Yaris ATIV แบบเช่าซื้อกับ Toyota Leasing
ในทางกลับกันเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อขาดแบบเช่าซื้อกับ Toyota Leasing ใช้เกณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อมาตรฐานเป็นตัวตั้ง โดยดาวน์ 25% เป็นเงิน 134,750 บาท เลือกผ่อน 48 เดือน จ่ายเดือนละ 9,160 บาทรวมดอกเบี้ย กลายเป็นเงิน 439,680 บาท เมื่อรวมกับเงินดาวน์ก้อนแรกจะจ่ายไปทั้งหมด 574,430 บาท
ต่อมาเมื่อนำค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามข้อมูลที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ Toyota จะพบว่า Yaris ATIV มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจนถึง 80,000 กม. ที่ 15,969 บาท ให้เปลี่ยนยาง 10,000 บาท กับแบตเตอรี่ 1,500 อย่างละครั้งเป็นเงินอีก 15,000 บาท และค่าประกันภัยชั้น 1 เป็นเวลา 3 ปี ตีเป็น 30,000 บาท (ให้ฟรีปีแรก)
เมื่อนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มารวมกับจำนวนเงินทั้งหมดที่จ่ายในสัญญาเช่าซื้อจะเป็นเงินทั้งหมด 631,899 บาท สูงกว่าการใช้รถยนต์แบบเช่ากับ Kinto ที่ 85,179 บาท และหากผู้ซื้อต้องการใช้รถยนต์นานกว่านั้น ก็ต้องเสี่ยงกับราคาขายต่อที่อาจร่วงลงไปอีก และค่าบำรุงรักษาหลังจาก 4 ปีแรกที่อาจมีค่าใช้จ่ายหนักๆ เข้ามาด้วย
ต่อด้วย Corolla Cross Hybrid Premium
จากรถเล็กใช้งานในเมือง ลองมาดูฝั่งรถ Crossover SUV ที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลานี้บ้าง ในที่นี้จะนำ Corolla Cross Hybrid Premium หรือรุ่นรองท็อปมาเป็นตัวเปรียบเทียบ ซึ่งราคาของรุ่นนี้อยู่ที่ 1,089,000 บาท เช่ากับ Kinto ในสัญญา 48 เดือน วิ่งปีละไม่เกิน 25,000 กม. จะต้องจ่าย 11,390 บาท/เดือน
เมื่อนำระยะเวลา 48 เดือนมาคำนวนจะได้ค่าใช้จ่ายตลอดอายุสัญญาที่ 1,004,640 บาท ถูกกว่าราคาจริงของรุ่นนี้ 84,360 บาท และก็เช่นกันกับ Yaris ATIV ผู้เช่าต้องเสียค่าประกันความเสียหาย 2 เท่าของค่าบริการรายเดือน ซึ่งในกรณีนี้ต้องจ่าย 41,860 บาท เมื่อรวมกับค่าเช่าเดือนแรก ผู้เช่าต้องกำเงินไปโชว์รูม 62,790 บาท
สำหรับ Kinto ทาง Toyota ให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี 2562 ปัจจุบันมีรุ่นยนต์หลายรุ่นให้เช่าระยะยาว 36-48 เดือน เลือกขับได้ 15,000-40,000 กม./ปี นอกจากนี้ยังมีบริการเช่าระยะสั้น 3 เดือน และ 1 ปีให้เลือก โดยไทยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากญี่ปุ่นที่ Toyota เลือกเปิดตัวบริการนี้
ผ่อน Corolla Cross Hybrid Premium
ในทางกลับกันการเช่าซื้อ Corolla Cross Hybrid Premium กับ Toyota Leasing ใช้สินเชื่อเช่าชื้อมาตรฐานเป็นตัวตั้ง และดาวน์ 25% หรือ 272,250 บาท ผ่อน 48 เดือน จ่ายเดือนละ 18,371 บาทรวมดอกเบี้ย ดังนั้นสิ้นสุดสัญญาเช่าซื้อต้องจ่ายเงินทั้งหมด 1,154,058 บาท
เมื่อมาดูค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาของ Corolla Cross Hybrid Premium จะพบว่า ระยะทาง 80,000 กม. มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 16,204 บาท เปลี่ยนยาง 1 ครั้งเป็นเงิน 25,000 บาท เปลี่ยนแบตเตอรี่ 1 ครั้งเป็นเงิน 2,500 บาท ประกันภัยชั้น 1 เป็นเวลา 3 ปี ราว 30,000 บาท (ปีแรกให้ฟรี)
ดังนั้นถ้านำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาร่วมกับยอดจ่ายสินเชื่อเช่าซื้อจะเป็นเงิน 1,227,762 บาท หรือสูงกว่าการเช่าระยะยาวกับ Kinto ที่ 223,122 บาท ซึ่งก็เหมือนกับ Yaris ATIV ที่หากใช้งานเกินกว่านี้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงในการขายต่อ และการบำรุงรักษาที่อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเข้ามาได้
แล้วเช่ายาว กับซื้อขาด Toyota อันไหนดีกว่า
จากการนำปัจจัยเรื่องระยะเวลา 4 ปี และขับไม่เกินปีละ 25,000 กม. จะพบว่า หากผู้ขับต้องการเปลี่ยนรถเร็ว เช่น 4 ปีเปลี่ยน 1 ครั้ง การเช่ารถระยะยาวย่อมคุ้มกว่า เพราะไม่ต้องบำรุงรักษา แถมยังได้รถใหม่ในราคาที่ประหยัดกว่า รวมถึงไม่ต้องกังวลกับราคาขายต่อ นอกจากนี้หากขับแล้วติดใจ ก็สามารถติดต่อซื้อกับทางโชว์รูมได้
ในทางกลับกันหากผู้ขับต้องการใช้รถเป็นระยะเวลานาน หรือ 7-8 ปีขึ้นไป การซื้อขาดอาจคุ้มกว่า เพราะได้เป็นเจ้าของ และหากผ่อนแค่ 48 เดือน หลังจากนั้นจะไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องนี้ เหลือเพียงค่าบำรุงรักษาปีละราว 10,000 บาท รวมถึงค่าซ่อมใหญ่เช่นช่วงล่าง หรือเครืองยนต์ในกรณีที่รถยนต์ใช้งานเป็นระยะเวลานาน
รวมถึงการซื้อขาดนั้น ผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะสามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ ไม่ต้องติดสัญญากับบริษัท แต่การซื้อขาดนั้นก็ต้องคำนวนช่วงเวลาการขายต่อด้วย เพราะหากรถยนต์รุ่นนั้นๆ ราคาตกเกินกว่าที่คาดการณ์ โอกาสที่จะนำเงินก้อนนั้นมาดาวน์รถยนต์คันใหม่ก็จะมีค่าน้อยลง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา