สรุป 8 สิ่งในงาน Wongnai Connect’18 จากแอพรีวิวร้านอาหาร สู่แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์

สรุป 8 เรื่องราวน่าสนใจจากงาน Wongnai Connect’18 งานใหญ่ประจำปีของ Wongnai แอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหาร ได้ทรานส์ฟอร์มสู่แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ของคนไทยครอบคลุมทั้งเรื่องอาหารการกิน ท่องเที่ยว ความงาม ไฮไลท์คือการรุกตลาด POS สร้างระบบจัดการร้านอาหาร สร้าง Ecosystem ร้านอาหารให้ครบวงจร

Disclaimer: Brand Inside อยู่ในเครือของ Wongnai

Wongnai 8 ปี มีไฮไลท์ 8 เรื่อง

จาก Passion ที่ชื่นชอบเรื่องอาหารการกินของยอด ชินสุภัคกุล CEO และผู้ก่อตั้ง Wongnai กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่รวบรวมรีวิวร้านอาหารทั่วฟ้าเมืองไทย พร้อมกับได้เห็น Wongnai คลอดเวอร์ชั่นแรกเมื่อปี 2010 ถือว่าเป็นแอพรีวิวร้านอาหารสัญชาติไทยรายแรกและเป็นที่นิยมมากที่สุดในไทยจนถึงทุกวันนี้

จนถึงวันนี้ Wongnai ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคตามยุคสมัยอยู่เสมอ พร้อมกับการติดสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการไม่หยุดนิ่งแค่เรื่องอาหารแต่ต่อยอดไปถึงเรื่องความงามด้วย Wongnai Beauty ล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ Travel สร้างอาณาจักรแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม Wongnai ได้จัดงาน Wongnai Connect 2018 เป็นงานใหญ่ประจำปีที่จะประกาศถึงความสำเร็จในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งก้าวต่อไปในอนาคต โดยมี 8 ไฮไลท์สำคัญในงาน เพื่อให้ Wongnai คงความเป็นแพลตฟอร์มที่ Connect People to Good Stuff ไม่ใช่แค่สำหรับดูรีวิวร้านอาหารเจ๋งๆ แต่ต้องเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค

  1. รุกทำโปรดักส์สำหรับผู้ประกอบการ Wongnai POS by FoodStory

ทำแพลตฟอร์มสำหรับฝั่งผู้ใช้ในการเสพคอนเทนต์ เสพรีวิวมากตลอด จนถึงปีนี้ Wongnai ได้ฤกษ์ที่จะทำการผุดบริการสำหรับฝั่งร้านค้า ผู้ประกอบการกับเขาบ้าง จึงได้ออกบริการ Wongnai POS by FoodStory

งานนี้ Wongnai ได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ FoodStory ด้วยการเข้าไปลงทุนมูลค่า 1 ล้านเหรียญ หรือกว่า 35 ล้านบาท

Wongnai POS by FoodStory เป็นระบบจัดการร้านอาหาร ซึ่งจะกลายเป็น Strategic Product ที่สำคัญในอนาคต จะเข้ามาสร้าง Ecosystem ของร้านอาหารให้ครบวงจร ครอบคลุมทั้งการรับออเดอร์ จัดการเงินสด จัดการโต๊ะอาหาร จัดการสต็อก ลดความผิดพลาด ทำให้เจ้าของร้านสะดวกขึ้น พนักงานแฮปปี้ขึ้น                     

ภารกิจสำคัญของ Wongnai POS by FoodStory ไม่ได้เป็นแค่เครื่องคิดเงินอย่างที่เคยเห็นทั่วไป แต่คือการเชื่อมต่อระหว่างร้านค้า กับผู้บริโภคให้เข้าถึงกันง่ายขึ้นด้วยฐานข้อมูลของ Wongnai รวมถึงเชื่อมต่อบริการ Delivery ที่มี LINE MAN พร้อมสแตนด์บายในการรับออเดอร์ และเชื่อมต่อสังคมไร้เงินสด สามารถชำระเงินผ่าน QR Code ของ SCB ได้ 

ที่สำคัญมากๆ ก็คือ Wongnai POS by FoodStory เปิดให้ใช้บริการฟรี!” เริ่มเปิดให้บริการเดือนสิงหาคมนี้ ตอนนี้มีร้านอาหาร และห้างที่กำลังจะเปิดตัวใหม่อย่าง Whizdom 101 ที่ True Digital Park ได้ใช้บริการนี้แล้ว

ความน่าสนใจก็คือบริการนี้จะเป็นแหล่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมารายได้ส่วนใหญ่ของ Wongnai มาจากโฆษณาทั้งสิ้นเป็นโมเดลรายได้ใหม่ๆที่เข้ามาเติมบริษัทให้มีความหลากหลาย

2. รู้จัก FoodStory เพื่อนซี้คนใหม่ แม้แต่ BNK48 Cafe ก็ยังใช้!

FoodStory เป็นสตาร์ทอัพที่ทำระบบจัดการร้านอาหารตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เป็นผู้คว้ารางวัลสุดยอด SME แห่งปี จากรายการ SME ตีแตก THE FINAL 2016

โดยที่ได้ทำตลาดมามากกว่า 5 ปี เป็นระบบการจัดการด้วย POS (Point of Sale) แบ่งเป็นสำหรับเจ้าของร้านด้วย FoodStory Owner รองรับการทำงานบน iPad สามารถจัดการเรื่องการเงิน สต็อก อาหารได้และ FoodStory Customer สำหรับลูกค้าทั่วไป สามารถอ่านรีวิวร้านอาหารได้

ข้อมูลทั้งหมดจะมีความปลอดภัยเพราะจัดเก็บอยู่บน Cloud เข้าถึงข้อมูลได้ตลอดทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องเข้าร้านก็สามารถดูข้อมูลได้

FoodStory มีมากกว่า 500 การใช้งาน ครอบคลุมการใช้งานได้ตั้งแต่ร้านกาแฟขนาดเล็ก ร้านอาหารทั่วไป จนถึงร้านบุฟเฟ่ต์หลายสาขา ซึ่ง BNK48 Cafe ที่เดอะมอลล์บางกะปิก็เลือกใช้ระบบนี้ หรือแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง S&P, Central Food Hall ก็ใช้งานเช่นกัน

ต้องยอมรับว่าทั้ง Wongnai และ FoodStory เป็นเพื่อนซี้คู่ใหม่ที่มีคาแร็คเตอร์เหมือนกันจริงๆ การผนึกกำลังกันครั้งนี้ย่อมสร้างโอกาสมหาศาลในอนาคตได้มากขึ้น 

3. เปิดฟีเจอร์ Travel ต้องหาที่กิน ที่เที่ยวในที่เดียวได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Wongnai ได้เป็นที่พึ่งพาเวลาไปสถานที่ท่องเที่ยว หลายคนก็ทำการค้นหาร้านอาหารดังๆ ในแต่ละท้องถิ่นอยู่ตลอด ไอเดียที่ตามมาก็คือต้องการให้ผู้บริโภคค้นหาทั้งที่กิน ที่เที่ยว ที่พักใน Wongnai ได้ครบทั้งทริป

จึงเป็นที่มาของการเปิดฟีเจอร์ Travel เพิ่มหมวดที่พัก ที่เที่ยว โดยที่ระบบจะคล้ายๆ กับร้านอาหาร ดูข้อมูลสถานที่ ดูรูป ให้คะแนน อ่านรีวิว พร้อมกับสามารถจองที่พักได้ด้วยผ่านการเทียบราคาของ Agoda และ booking.com แต่แอบกระซิบว่าถ้าจองผ่าน Agoda จะได้รับส่วนลดอีก 8%

แต่ฟีเจอร์ Travel นี้ไม่ได้เหมือนกับร้านอาหารตรงนี้การสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านมากขึ้น เพราะการท่องเที่ยวต้องอาศัยในเรื่องของประสบการณ์เข้ามาด้วย มีการเพิ่มหมวด Trips ที่ให้ผู้บริโภคได้เข้ามาเล่าเรื่องราวเหมือนเป็นบล็อก เป็นการกระตุ้นให้เข้ามาแชร์ประสบการณ์มากขึ้น

จากจุดเริ่มต้นของ Wongnai ที่เป็นร้านอาหาร จนถึงตอนนี้สามารถวางแผนทริปทั้งทริปได้แล้ว ตั้งแต่ดูว่าจะพักโรงแรมไหนดี หาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เลือกร้านอาหารอร่อยๆ หรือแม้กระทั่งสถานที่ผ่อนคลายอย่างร้านนวด สปา ซาลอนต่างๆ คือ ทุกอย่างจบในแอพเดียวได้เลย

4. ผนึก Blognone / Brand Inside เสริมขาคอนเทนต์ IT-ธุรกิจ

ถือเป็นดีลใหญ่แห่งวงการสื่ออีกดีลหนึ่ง หลังจากที่ Wongnai ได้ Blognone กับ Brand Inside เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ซึ่ง Blognone เป็นเว็บไซต์ไอทีอันดับต้นๆ ของประเทศ ส่วน Brand Inside เป็นเว็บไซต์ทางด้านธุรกิจ การตลาดน้องใหม่ ที่เพิ่งมีอายุเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

การที่ Wongnai เลือก 2 เว็บไซต์นี้เข้ามาก็เพื่อต้องการต่อยอดคอนเทนต์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคของเว็บไซต์ออนไลน์ ยิ่งช่วยเสริมทัพให้อาณาจักรของ Wongnai กว้างขึ้น

หลังจากที่ทั้ง 2 เว็บได้เข้ามาร่วมนั้นก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการรับรู้ และทราฟิกผู้เข้าชม โดยที่ Blognone มีการเติบโต 38% ส่วน Brand Inside เติบโตถึง 111%

และในเดือนหน้าทาง Blognone เตรียมมีอีเวนต์ใหญ่ Blognone Tomorrow เป็น Tech Conference ครั้งแรก ภายในงานได้เชิญวิทยากรจาก Tech Company ระดับโลกมาบรรยาย จัดในวันที่ 8 สิงหาคม 2018 นี้

5. ขยาย Event อีก 10 แห่ง สร้างความแข็งแกร่งบนโลกออฟไลน์

ถ้า Wongnai แข็งแกร่งบนโลกออนไลน์แล้ว ทั้งแอพพลิเคชั่น และโซเชียลมีเดีย ฉะนั้นก็ปฏิเสธโลกออฟไลน์ที่เป็นคู่ขนานกันไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการเริ่มทำงานอีเวนต์ มีจุดเริ่มต้นคือเมื่อกลางปี 2017 ที่ผ่านมา เริ่มจากไอเดียที่ว่า ในเมื่อมีข้อมูลร้านอาหารดี ๆ อยู่ในระบบถึงกว่า 250,000 ร้านทั่วประเทศ ทำไมไม่ลองเอาข้อมูลเหล่านี้มาต่อยอด

เกิดเป็นงาน Wongnai Food Festival ขึ้นมา รวบรวมร้านอาหารดังๆ ร้านยอดฮิตของผู้บริโภคมารวมไว้ที่เดียว จัดไปแล้วทั้งหมด 5 งาน ในจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ โคราช ชลบุรี กทม.โดยแต่ละงานก็มีความแตกต่างกันไป มีร้านที่มาออกงาน 40-100 ร้าน

เหตุผลที่ไป 4 จังหวัดนี้ก่อน เพราะเริ่มต้นจากการตระเวนไปตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มีออฟฟิศของ Wongnai อยู่ ตลอด 5 งานที่ผ่านมามีคนร่วมงานกว่า 250,000 คน

แผนในอนาคตตั้งแต่ปลายปี 2018 เป็นต้นไป Wongnai จะเดินทางไปจัดงาน Food Event กว่า 10 จังหวัด เหนือจรดใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงกลางปี 2019 

6. เข้าสู่ยุค Wongnai X ปรับโฉมเอาใจผู้ใช้

แอพพลิเคชั่น Wongnai ได้ออกเวอร์ชั่นแรกเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆโดยตลอดและได้เอาดาต้าของผู้ใช้มาปรับใช้ว่ามีการใช้งานส่วนไหนมากที่สุดชอบฟีเจอร์ไหนมากที่สุดคอนเทนต์ก็ไม่ได้มีแค่ร้านอาหารแต่ยังมีเรื่องสูตรอาหาร ความงาม ท่องเที่ยวเข้ามาเติมให้แน่นขึ้น

จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Wongnai ได้ทำการ Redesign แอพครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปี ใช้ชื่อเวอร์ชั่นใหม่นี้ว่า Wongnai X มาจาก User eXperience (ไม่เกี่ยวกับ iPhone X แต่อย่างใด) ต้องการสื่อให้เห็นถึงการออกแบบใหม่ได้คำนึงถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภคเป็นหลัก

ดีไซน์ใหม่นี้จะทำให้การค้นหาร้านอาหารง่ายขึ้น มีหมวดโปรโมชั่นเด็ดๆ ที่เห็นได้ชัดเจน และมีหมวด Travel ที่เพิ่มเข้ามา จะหาที่กิน หรือที่เที่ยวก็จบได้ที่แอพ Wongnai

7. ใช้ AI ในการพัฒนาระบบ

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าคำว่า AI, Machine Learning, Deep Learning เป็นคำยอดฮิตที่ถูกพูดถึงทั่วโลก ในไทยเองก็เริ่มเห็นการตื่นตัวมากขึ้น บริษัท Tech ต่างๆให้ความสนใจเป็นอย่างมากในการนำมาใช้พัฒนาสินค้าและบริการของตัวเอง

Wongnai เองก็ได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับการพัฒนาระบบในหลายๆ ส่วน ยกตัวอย่างเช่น การใช้ AI เพื่อคัดแยกรูปภาพที่มีอยู่จำนวนหลายล้านรูปออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการเปิดดูภาพประเภทต่างๆ ของร้านที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพอาหารรูปสมุดเมนูรูปบรรยากาศในร้าน  

หรือจะเป็นการใช้ AI แนะนำร้านที่น่าสนใจเพิ่มเติมในขณะที่กำลังดูข้อมูลร้านๆหนึ่งอยู่เพื่อให้ผู้ใช้ค้นพบร้านอื่นๆที่คนอื่นที่มีความสนใจคล้ายๆเราแนะนำ

รวมไปถึงการใช้ AI ช่วยในการเลือกรูปอาหารที่สวยขึ้นมาแสดงเป็นภาพหลักของร้าน เพราะรูปคือสิ่งที่ทำให้เกิดความสนใจของผู้ใช้ ดังนั้นการเลือกรูปอาหารที่น่าทานของแต่ละร้านก็จะเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้ใช้และเจ้าของกิจการนั่นเอง  

8. รายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด

ปัจจุบัน Wongnai เข้าสู่ปีที่ 8 แล้วมีสถิติหลายอย่างที่น่าสนใจ มีผู้เข้าชม 120 ล้านครั้งต่อเดือน มีรูปและรีวิวมากกว่า 10 ล้านชิ้น มีผู้ใช้เพิ่มแอพพลิเคชั่นเพิ่มขึ้น 38% ต่อเดือน มีผู้ใช้แอคทีฟ 8 ล้านคนต่อเดือน

ตอนนี้ Wongnai มีสำนักงานใน 9 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต หาดใหญ่ โคราช ขอนแก่น หัวหิน และอยุธยา มีพนักงานทั้งหมด 240 คน โดยที่ 50 คนเป็นพนักงานจากต่างจังหวัด

รายได้ในปีที่ผ่านมาถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 72% มีรายได้หลักจากอาหารในสัดส่วน 58% รองลงมาคือ Beauty 18% Delivery ที่ทำร่วมกับ LINE MAN 7% Cooking 7% และอื่นๆ 10%

ทำให้ตอนนี้ Wongnai ไม่ใช่แพลตฟอร์มสำหรับคนที่นึกถึงร้านอาหารอย่างเดียวแล้วเท่านั้น แต่เป็นการขยับเข้าใกล้ชีวิตประจำวันผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมในทุกๆ ไลฟ์สไตล์ เชื่อว่าในอนาคตยังต้องมีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้เห็นอีก จะเป็นการทำให้ Wongnai เชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้ครบวงจรมากขึ้นอีกแน่นอน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา