มิจฉาชีพ ก็ทำ Segmentation เหยื่อ! นี่คือคน 6 แบบ ที่ถูกมองเป็นเป้าหลอกลวง

ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดงาน ‘สัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568’ ในหัวข้อเท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มากล่าวปาฐกถาเปิดงานอธิบายถึงภูมิทัศน์การเงินของไทยและสถานการณ์ของ มิจฉาชีพ

แบงก์ชาติ พูดถึง มิจฉาชีพ

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ในทศวรรษที่ผ่านมา การเงินดิจิทัล (digital finance) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล หรือ fast payment ทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ เปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก 

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทยคือ พร้อมเพย์ (PromptPay) ดร.เศรษฐพุฒิระบุ “เพราะประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันมีการใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 144 พันล้านบาท”

แต่ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอกภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบ

งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ จึงได้จัดช่วง Research Talk เปิดโอกาสให้สาธารณชนและผู้กำหนดนโยบายได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการที่ทำวิจัยในประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจการเงินไทย เพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนถึงทางออกจากปัญหานี้ร่วมกัน

หนึ่งในงานวิจัยที่น่าสนใจในคราวนี้คือการพูดคุยในหัวข้อคนไทยกับภัยการเงิน: เสี่ยงภัย สู่ ปลอดภัย โดยรศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และคณะผู้วิจัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รศ.ดร.นวลน้อย ชี้ให้เห็นว่า มิจฉาชีพมีการแบ่งกลุ่มและสร้างวิธีการเข้าถึงเหยื่อแต่ละแบบชัดเจน เช่น 

  1. กลุ่มมนุษย์เงินเดือน (25-40 ปี) จะมีความเปิดกว้างกับคนทั่วไป อยากมีอิสรภาพทางการเงิน และชอบช้อปปิ้งแก้เครียด
  2. กลุ่มฟรีแลนซ์หางานเสริม (15-50 ปี) อาชีพไม่มั่นคง ขาดสภาพคล่อง หางานออนไลน์อย่างไม่เป็นทางการ
  3. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีการศึกษาและรายได้ต่ำ ต้องดูแลคนในครอบครัวจึงต้องหางานหารายได้
  4. กลุ่ม High Profile (35-65 ปี) รายได้และสถานะสังคมสูง ความรู้สูง มีชื่อเสียง มั่นใจในตนเอง เวลาจำกัด
  5. กลุ่มธุรกิจรายย่อย ต้องการหาลูกค้าและรายได้เพิ่ม มีการแข่งขันสูง บางรายมีคำสั่งซื้อเยอะแต่ขาดระบบ
  6. กลุ่มผู้สูงวัย (60-86 ปี) เชื่อใจคนง่าย เชื่อมั่นในตนเอง เหงา ขาดทักษะด้าน IT

ภัยการเงิน ‘ที่มีการแจ้งความ’ ในช่วง 3 ปีครึ่ง เกิดทั้งหมด 1,025,431 เคส มูลค่าความเสียหาย 9.8 หมื่นล้านบาท อ้างอิงข้อมูลสถิติแจ้งความออนไลน์ โดยแบ่งเป็นกรณีต่าง ๆ คือ

  • ซื้อขายออนไลน์ 47% ของเคสทั้งหมด, 7% ของความเสียหาย
  • หลอกลงทุน 24% ของเคสทั้งหมด, 55% ของความเสียหาย
  • หางาน 12% ของเคสทั้งหมด, 16% ของความเสียหาย
  • Call Center 11% ของเคสทั้งหมด, 15% ของความเสียหาย
  • App ดูดเงิน 2% ของเคสทั้งหมด, 5% ของความเสียหาย
  • Romance Scam 1% ของเคสทั้งหมด, 2% ของความเสียหาย
  • อื่นๆ 3% ของเคสทั้งหมด, 1% ของความเสียหาย

รศ.ดร.นวลน้อย ยังระบุอีกด้วยว่าเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว เหยื่อเลือกที่จะไม่ทำอะไรหรือติดต่อมิจฉาชีพกลับไป มากกว่าแจ้งความ

  • 42% ติดต่อมิจฉาชีพ
  • 28% ไม่ทำอะไร
  • 10% แจ้งตำรวจ
  • 9% ปรึกษาคนรู้จัก
  • 7% บล็อกมิจฉาชีพ
  • 3% โพสต์บนสื่อโซเชียล
  • 1% อื่น ๆ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ‘การทราบช่องทางร้องเรียน’ เป็นปัจจัยเพิ่มโอกาสแจ้งความ โดยช่วยเพิ่มโอกาสขึ้นถึง 23%

งานวิจัยชิ้นนี้เสนอแนะว่าการสร้างภูมิทัศน์การเงินที่ปลอดภัยต้องปรับปรุงจากหลายส่วน ได้แก่ ผู้บริโภค ที่ต้องตื่นตัวและศึกษาช่องทางร้องเรียน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและเครือข่าย ที่ต้องปิดคอนเทนต์เสี่ยง ลิงก์เถื่อน และเสริมเกราะจากผู้ให้บริการคมนาคม ตลอดจนภาครัฐ ที่ต้องประสานความร่วมมือกับเอกชน อุตสาหกรรม และประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาค

ที่มา: งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน