กระแสการทำงานยุคใหม่ 5 ชั่วโมงต่อวันมาแรง เพราะเวลาอาจไม่ได้บอกผลลัพธ์และความสำเร็จ

สภาพการทำงานในปัจจุบันที่เราคุ้นเคยกันดี คือการทำงานแบบเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 6 โมงเย็น ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่รวมเวลาพักอีก 1 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ เท่ากับว่าใน 1 สัปดาห์เราจะใช้ชีวิตไปกับการทำงาน 40 ชั่วโมง

ภาพจาก Unsplash โดย Avel Chuklanov

ความจริงแล้วสภาพการทำงานวันละ 8 ชั่วโมงเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การทำงานของมนุษย์ได้ไม่นาน เพราะย้อนกลับไปนับร้อยปีที่แล้ว ยังไม่มีการออกกฎหมายควบคุมชั่วโมงการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เวลาไปกับการทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในช่วงปี 1890 กว่าจะมีการควบคุมชั่วโมงการทำงานของแรงงานไม่ให้มากเกินไปก็ต้องใช้เวลาอีกนาน จนกระทั่งช่วงปี 1900 แรงงานจึงมีการรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิ์เพื่อทำงานวันละ 8 ชั่วโมง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมี Ford Motor บริษัทขนาดใหญ่รายแรกๆ ที่ประกาศให้พนักงานทำงานวันละ 8 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในปัจจุบันมาตรฐานการทำงานของบริษัทหรือโรงงานส่วนใหญ่ จะให้พนักงานทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ในความจริงแล้วข้อมูลสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกา พบว่า คนทำงานส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ทำงานเฉลี่ยวันละ 8.8 ชั่วโมง ส่วนผลการสำรวจของบริษัทเอกชนอื่นๆ พบว่าคนอเมริกันทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 9.4 ชั่วโมงต่อวัน ซ้ำร้ายบางบริษัทในแวดวงเทคโนโลยี และการเงินมีชั่วโมงการทำงานมากถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน และบางครั้งทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ก็มีเช่นกัน

แต่หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลายๆ อย่างของคน ไม่เว้นแม้แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ที่เปลี่ยนไปจากการนั่งทำงานภายในสำนักงานเป็นการนั่งทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ซึ่งการทำงานที่บ้านนี้เองทำให้พนักงานบริษัทหลายๆ คนไม่ได้ยึดชั่วโมงการทำงานวันละ 8 ชั่วโมงต่อวันอีกต่อไป

ภาพจาก pixabay.com

เพราะการทำงานที่บ้านสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่มีใครมารบกวนการทำงาน ทำให้ชั่วโมงการทำงานที่น้อยลงแต่ได้ปริมาณงานเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม ซึ่งที่ผ่านมา Harvard Business Review ได้เคยทำผลการสำรวจว่าในแต่ละวันการทำงานในสำนักงานต้องเจอกับสถานการณ์อะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นสถานการณ์ดังนี้

    • การประชุมที่กินระยะเวลายาวนานในแต่ละวัน
    • มีการรบกวนจากเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะคนที่ทำงานในสำนักงานแบบเปิดโล่ง (Open Plan Office) รวมถึงเสียงรบกวนจากโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขณะทำงาน
    • การใช้เวลาไปกับการอ่านอีเมล และพยายามเคลียร์กล่องข้อความให้เป็นศูนย์อยู่ตลอดเวลา
    • การเดินทางไปประชุมกับคนนอกบริษัท ที่ต้องเสียเวลานาน ทั้งที่สามารถประชุมผ่านโทรศัพท์ หรือ VDO Call ได้
    • การสลับไปทำงานอื่นหลายๆ งานพร้อมกัน จนไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่ง

ซึ่งการทำงานที่บ้านสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้บ้าง เพราะทุกๆ คนมีพื้นที่การทำงานเป็นของตัวเอง สามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น เพราะไม่มีใครมารบกวน สามารถใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับงานชิ้นเดียวจนเสร็จ รวมถึงสามารถประชุมผ่านระบบ VDO Call ได้ตลอดเวลาไม่จำเป็นต้องเดินทาง ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้น

ภาพจาก pixabay.com

ทำงาน 5 ชั่วโมงต่อวัน กระแสใหม่หลังยุค Work From Home

ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นทำให้พนักงานแต่ละคนสามารถบริหารจัดการเวลาในการทำงานของตัวเองได้ดีกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องทำงานให้ครบ 8 ชั่วโมงต่อวัน อาจจะทำงานเพียงวันละ 5 ชั่วโมงก็ได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าประสิทธิภาพการทำงานต้องดีขึ้น หรืออย่างน้อยๆ ต้องได้งานเท่ากับการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง โดยที่ผ่านมาบริษัทหลายๆ แห่งก็มีการทำผลสำรวจเช่นกันว่าการทำงานที่บ้านจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานอย่างไร ผลที่ออกมาคือ บริษัทกว่า 76% มองว่าการทำงานที่บ้านไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานลดลงเลย

ข้อดีที่ได้จากการทำงานที่บ้าน แน่นอนว่าอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมการทำงานไปอย่างถาวร จากเดิมที่เคยเน้นชั่วโมงการทำงานวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน เปลี่ยนไปเป็นการทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่มีสิ่งรบกวน มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานเสร็จโดยใช้เวลาน้อยลง มีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ส่วนบริษัทก็เน้นวัดผลโดยดูที่ผลลัพธ์จากการทำงาน มากกว่าจะดูชั่วโมงการทำงานว่ามากหรือน้อยเพียงใด

ที่มา – cnbc, entrepreneur

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา