วิกฤตโควิดทำให้ช่วง 3 เดือน มี.ค. – พ.ค. อัตราการว่างงานของคนไทยเพิ่มสูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยเดือนมีนาคม ข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบว่ามีคนว่างงาน 3.92 แสนคน ขณะที่การคาดการณ์จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะมีพนักงาน 7 ล้านคนที่ออกจากงานในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดตัวลงของภาคธุรกิจ
ยังไม่นับกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่จะมาเพิ่มจำนวนผู้ว่างงานในตลาดให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ทำให้คาดว่ากลุ่มคนทำงานที่มีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า แม้การว่างงานจะเพิ่มขึ้น แต่ในวิกฤตยังมีโอกาส มีภาคธุรกิจที่ยังต้องการแรงงาน เช่น รกิจไอที ธุรกิจขายปลีก ธุรกิจบริการด้านการเงิน ธุรกิจจัดจำหน่าย ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ โดย JobsDB ได้รวบรวมข้อมูลความต้องการคนทำงานทั่วประเทศไทยช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม 2563 พบข้อมูลดังนี้
5 ธุรกิจที่ยังมีความต้องการคนทำงาน
- ธุรกิจไอที (Information Technology)
- ธุรกิจการผลิต (Manufacturing)
- ธุรกิจขายส่ง ธุรกิจขายปลีก (Wholesale / Retail)
- ธุรกิจบริการด้านการเงิน (Financial Services)
- ธุรกิจ Trading ธุรกิจจัดจำหน่าย (Trading and Distribution)
5 สายอาชีพที่ยังคงมีความต้องการคนทำงาน ได้แก่
- งานขาย งานบริการลูกค้า งานพัฒนาธุรกิจ (Sales, CS & Business Devpt)
- งานไอที (Information Technology)
- งานวิศวกรรม (Engineering)
- งานการตลาด งานประชาสัมพันธ์ (Marketing / Public Relations)
- งานธุรการ งานทรัพยากรบุคคล (Admin & HR)
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจและสายงานไอทีเป็นกลุ่มที่มีความต้องการคนทำงานสูง เนื่องจากหลายองค์กรมีการปรับตัวรับ New Normal รวมถึงการทำงานให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย มีการเตรียมความพร้อมรับคนกลับมาทำงานหลังภาพรวมต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดสิ้นเดือนพฤษภาคมพบว่ามีตัวเลขความต้องการแรงงาน เริ่มฟื้นตัวกลับมา แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- ธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistic) เพิ่มขึ้น 23%
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Property Development) เพิ่มขึ้น 13%
- ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจการตลาด ธุรกิจประชาสัมพันธ์ (Advertising/Public Relations/Marketing Services) เพิ่มขึ้น 6%
- ธุรกิจประกันภัย (Insurance/Pension Funding) เพิ่มขึ้น 5%
- ธุรกิจขายส่ง ธุรกิจขายปลีก (Wholesale/Retail) เพิ่มขึ้น 2%
จะเห็นได้ว่าการเติบโตของของภาคธุรกิจเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้น เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ที่มีการเติบโตจากการขนส่งสินค้าออนไลน์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการสั่งอาหารเดลิเวอรี่เพิ่มมากขึ้น ส่วนธุรกิจประกันภัยมีการเติบโตเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับประกันสุขภาพมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงธุรกิจขายส่ง ธุรกิจขายปลีก ที่มีแน้วโน้มเติบโตอันเป็นไปตามเทคโนโลยีดิจิทัล
ในขณะที่ 5 กลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนประกาศงานลดเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism/Travel Agency) ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริการ ธุรกิจจัดเลี้ยง (Hospitality/Catering) ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจสถาปัตยกรรม (Architecture/Building/Construction) ธุรกิจยานยนต์ (Motor Vehicles) ธุรกิจวิศวกรรมก่อสร้าง-ธุรกิจวิศวกรรมโยธา-ควบคุมอาคาร (Engineering – Building, Civil, Construction/Quantity Survey)
พรลัดดา กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมของฝั่งคนหางาน พบว่าในเดือนพฤษภาคมผู้สมัครงานมีจำนวนการสมัครงานเพิ่มขึ้น คิดเป็น 20% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ทั้งจากคนทำงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ รวมถึงผู้สมัครงานบางส่วนเริ่มมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์และมองหาโอกาสในการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งพิจารณาจากใบสมัครเติบโตสูง พบว่า
- ธุรกิจ Trading ธุรกิจจัดจำหน่าย (Trading and Distribution) เพิ่มขึ้น 32%
- ธุรกิจสารเคมี พลาสติก กระดาษ ปิโตรเคมี (Chemical/Plastic/Paper/Petrochemical) เพิ่มขึ้นสูงถึง 13%
- ธุรกิจไอที (Information Technology) เพิ่มขึ้น 10% และ
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจจัดเลี้ยง (Food and Beverage/Catering) เพิ่มขึ้น 2%
และในช่วงเวลาเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึง 5 กลุ่มสายงานเป็นที่ต้องการของผู้สมัครงานสูงคือ
- อีคอมเมิร์ซ (E-commerc) เพิ่มขึ้น 75%
- งานขาย งานบริการลูกค้า งานพัฒนาธุรกิจ (Sales, CS & Business Development) เพิ่มขึ้น 3%
- งานบัญชี (Accounting) เพิ่มขึ้น 3%
- งานไอที (IT) เพิ่มขึ้น 3%
- งานการตลาด งานประชาสัมพันธ์ (Marketing/Public Relations) เพิ่มขึ้น 2%
การแข่งขันเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการจ้างงาน ให้สามารถเลือกคนทำงานได้ตรงตามเป้าหมาย โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต้องการก้าวสู่ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยภาคคนหางานและภาคธุรกิจให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จ๊อบส์ ดีบี ได้เปิดตัวโครงการ “ทูเก็ตเทอร์อเฮด” (#TogetherAhead) ช่วยเหลือผู้หางานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยผู้ประกอบการสามารถลงประกาศงานฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ในขณะที่ผู้หางานที่ได้รับผลกระทบสามารถมองหาตำแหน่งงานใหม่ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตดังกล่าว ถือเป็นอีกช่องทางให้ผู้ประกอบการได้คนทำงานที่ตรงใจ รวมถึงผู้หางานได้พบงานที่ดี มีคุณภาพจากองค์กรชั้นนำที่น่าเชื่อถือ ล่าสุดได้รับความสนใจจากองค์กรและผู้ประกอบการชั้นนำเข้าร่วมกว่า 600 บริษัท มีประกาศงานที่เปิดรับกว่า 1,500 อัตรา และมีใบสมัครเข้ามาในระบบแล้วมากกว่า 30,000 ใบสมัคร ซึ่งองค์กรหรือผู้ประกอบการที่สนใจสามารถรับขอสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://th.jobsdb.com/togetherahead
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา