ก่อนหน้านี้ Brand Inside ได้นำเสนอวิธีการคิดสร้างสรรค์ของ “ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม” มาวันนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับ 4 Bad Ideas ของเขาว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และทำไม Bad Idea ถึงกลายเป็นหลักหมุดสำคัญของชีวิตเขาคนนี้
Hot Wave ที่กำหนดเทรนด์การประกวดวงดนตรี
Bad Idea แรกของ “ป๋าเต็ด” ก็คือ Hot Wave Music Award เพราะตอนนั้นงานนี้ในสายตาคนอื่นจะถูกมองว่าเป็นงานที่ต่างกับการประกวดดนตรีอื่นๆ เช่นการประกวดนักร้องของสยามกลการ ซึ่งงานเหล่านั้นมันเป็นการประกวดวงดนตรีสมัครเล่น และไม่มีใครรู้จักแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนจริงๆ
ทางทีม Atime ตอนนั้นจึงระดมสมองกัน และสรุปออกมาว่าจะจัดประกวดวงดนตรีโรงเรียน โดยเอาเรื่องฟุตบอลจตุรมิตรฯ มาเป็นแนวทาง เพราะถึงนักฟุตบอลจะไม่รู้จัก แต่ทุกคนก็ไปเชียร์โรงเรียนของตัวเอง ส่วนเรื่องบังคับให้ใส่ชุดนักเรียนตอนประกวด เพราะอยากแสดงความเป็นโรงเรียน และเวลาพวกเขาใส่ชุดนี้ก็จะไม่ทำอะไรที่ไม่สมควรด้วย
ซึ่งผลสรุปออกมามันก็ค่อนข้างดี ผ่านตัวเลขการสมัครเข้ามาประกวดที่เพิ่มขึ้นตลอด แถมเวลาจัดแข่งรอบสุดท้ายนักเรียนแต่ละโรงเรียนก็มาเชียร์เพื่อนๆ เต็มที่ แม้จะมีช่วงหนึ่งที่การแข่งขันนี้ต้องหยุดไป แต่เราก็เอามันมาทำใหม่เป็นรายการทีวี และก็มีเด็กๆ ให้ความสนใจเช่นเดิม
Fat Festival กับความท้าทายเรื่องเจ๊ง กับเจ๋ง
Bad Idea ต่อมาก็คืองาน Fat Festival ที่ตอนนั้น “ป๋าเต็ด” ได้ออกจาก Atime เพื่อไปร่วมทุนทำคลื่นวิทยุ Fat Radio กับเพื่อน โดยชูเรื่องเปิดเพลงโดนใจวัยรุ่นแบบ Hot Wave แต่ให้เนื้อหาสาระแบบ Green Wave แต่ด้วย Agency ไม่เชื่อว่าวิทยุคลื่นนี้จะมีคนฟังจริงๆ ก็เลยไม่มีโฆษณาเข้า ทำให้การลงทุนเดือนละ 4 ล้านบาทกำลังหมดไป
และที่เรียกมันว่า Bad Idea ก็เพราะแทนที่ทางทีมผู้บริหารจะมาปรับเนื้อหาวิทยุคลื่นนี้ให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อจะได้มีโฆษณาเข้า แต่ทางทีมเลือกที่จะจัดงาน Fat Festival ขึ้น โดยเอาศิลปินที่เปิดในคลื่นเราเช่น Groove Rider, สี่เต่าเธอ และอื่นๆ มาเล่นคอนเสิร์ต และเลือกจัดงานที่โรงงานยาสูบเก่า เพื่อพิสูจน์ว่าคนมางานคือคนที่ตั้งใจมาจริงๆ
และปรากฎว่างานนี้มันคึกคักมาก และตลอดสองวันที่จัดก็มีคนเข้ามาร่วมงานกว่า 20,000 คน แสดงให้เห็นว่ามันมีคนฟังคลื่นนี้จริงๆ และจากทุนที่กำลังจะหมดไป ก็มีโฆษณาเข้ามาเรื่อยๆ และทำให้คลื่นนี้สามารเดินหน้าจัดได้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน แม้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Cat Radio ก็ตาม
มันใหญ่มาก ที่เริ่มมาจากคอนเสิร์ต Lula
งาน Big Mountain หรือมันใหญ่มากเป็นอีกหลักหมุดสำคัญในชีวิตของ “ป๋าเต็ด” และเป็น Bad Idea ที่หลายคนคงคิดไม่ถึงแน่ๆ เพราะจุดเริ่มต้นของงานนี้มาจากแค่ “ป๋าเต็ด” ย้ายกลับมาอยู่กับแกรมมี่ และปั้นLula จนดัง ขนาดต้องจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวให้ แต่กลัวว่าคนจะมาไม่เยอะ เลยจะจัดเป็น Music Festival ที่รวมศิลปินหลายคนแทน
แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีงาน Music Festival เยอะมาก ถ้าไปจัดชนกันก็กลัวจะไม่แตกต่าง และดึงคนมาลำบาก จึงมองต่างด้วยการทำ 7 เวที และจัดงานเป็น 2 วัน เพราะ Music Festival ตอนนั้นมักมีแค่ 1 เวที จัดวันเดียว ทำให้ศิลปินมันซ้ำ ไปงานไหนก็เจอศิลปินเดิมๆ ทำให้มันต่างแค่บรรยากาศ
พอคิดอย่างนั้นมันก็เลยใหญ่มาก ส่วนชื่อมันใหญ่มากก็มาจากคำอุทานว่า “มันใหญ่มาก” ระหว่างประชุดงาน เพราะถ้าจะทำจริงๆ ศิลปินเยอะขนาดนี้มันต้องใหญ่มากจริงๆ ซึ่งปัจจุบันงาน Big Moutain ก็จัดมาเป็นปีที่ 9 และปีนี้คาดว่าจะมีคนอยู่ในงาน 80,000 คน ผ่านเงินลงทุนกว่า 90 ล้านบาท ซึ่งมันได้กำไรแน่ๆ
“ผงาดง้ำค้ำโลก” กับความจำกัดด้านเวลา
Bad Idea สุดท้ายของ “ป๋าเต็ด” ก็คือการทำคอนเสิร์ต “ผงาดง้ำค้ำโลก” ให้กับ Paradox ด้วยระยะเวลาเตรียมงานเพียง 1 เดือนนิดๆ เพราะก่อนหน้านี้ได้จองฮอลล์คอนเสิร์ตไปแล้ว แต่ไม่สามารถจัดคอนเสิร์ตให้กับศิลปินวงที่ต้องเล่นในวันนั้นได้ จึงเลือก Paradox มาเป็นตัวตายตัวแทน
“เราไม่อยากเสียค่ามัจจำหลักล้าน แต่ด้วยเวลามันจำกัด เลยเห็น Paradox ขึ้นมาเป็นวงแรก เพราะด้วยความสนิท และคุยกันรู้เรื่อง ในทางกลับกันเราก็ต้องมาคิดว่าแฟนเพลง Paradox ไม่ซื้อบัตรแพง และมีแฟนไม่เยอะ ทำให้เราต้องคิดใหม่ทำใหม่หลายอย่าง เช่นแทนที่จะใช้จอ LED เป็นพื้นหลัง ก็เปลี่ยนเป็นตุ๊กตาเป็ดยางแทน” ป๋าเต็ด กล่าว
สรุปแล้วจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจำหน่ายบัตรได้ 2,000 ใบเพื่อคุ้มทุนจากความจุ 4,000 ใบ สรุปแล้วแค่วันแรกมันก็ขายได้เป็นพันใบแล้ว และหลังจากนั้นมันก็หมดอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าถ้าเราทำอะไรที่มันตอบโจทย์ และเอาข้อจำกัดมาปรับให้ดี จาก Bad Idea ก็กลายเป็น Good Idea ได้
สรุป
สุดท้ายแล้วก็อยากจะย้ำว่า Bad Idea ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียง Idea ที่มาก่อนเวลาเกินไปเท่านั้น ประกอบกับเรื่อง “ข้อจำกัด” นั้นอย่ามองว่ามันเป็นเรื่องไม่ได้ ให้มองว่ามันเป็นเครื่องมือสำคัญที่พระเจ้าให้มา เพราะพอเรารู้ข้อจำกัด การสร้างสรรค์งานที่ดีออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา