จัดเต็มกับ 32 แนวคิดดีๆ กับการใช้ชีวิตจาก “ดีเจพี่อ้อย” ไม่ว่าจะเรื่องการทำงาน หรือความรัก ก็ล้วนมาจากที่เดียวกันคือใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องทำจิตใจให้แข็งแรง
ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแม่ Club Friday ที่ให้คำปรึกษาเรื่องความรักของบุคคลทั่วไปมามากมาย จนทุกคนมองว่า “ดีเจพี่อ้อย-นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล” ประจำคลื่น Green Wave 106.5 FM เป็นศิราณี หรือที่ปรึกษาด้านความรักไปแล้วเรียบร้อย
แต่ใครว่าดีเจพี่อ้อยจะเชี่ยวชาญด้านความรักอย่างเดียว ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องการงาน การใช้ชีวิต หรือความรัก ดีเจพี่อ้อยมองว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะทุกปัญหาเกิดจากวัตถุดิบหลักคือ “ใจ” ไม่ว่าจะเรื่องการงานก็มีเรื่องความรักมาเกี่ยวข้องจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
มีโอกาสได้พูดคุยกับดีเจพี่อ้อยแบบ Exclusive พร้อมกับนำเสนอแนวคิดการใช้ชีวิตแบบมองความรักและการทำงานแบบเชื่อมโยงกัน จนออกมาเป็น 32 แนวคิดของการใช้ชีวิต เชื่อว่าจะทำให้ Feel Good ขึ้นมาอย่างแน่นอน
ใน 32 ข้อนี้จะไม่ได้แยกหัวข้อเรื่องการทำงาน และความรัก เพราะอยากให้ทุกคนได้อ่านเชื่อมโยงกันทั้งหมด (คำเตือนว่าอาจจะยาวหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน)
- ยืนยันว่าความรักไม่มีใครเก่งกว่าใคร แต่อยู่ที่ว่าใครมีสติมากกว่ากัน “ปัญหาคนอื่นใช้หัว ปัญหาของตัวใช้ใจ”
2. สำคัญกว่าเรื่องของเงิน คือเรื่องของใจ หลายออฟฟิศในญี่ปุ่นมีอนุมัติให้ “ลาอกหัก” ได้ คนอายุเยอะลาอกหักได้นานกว่าคนอายุน้อย เพราะคนแก่แผลหายช้า… จะเห็นว่าเพลงรักแต่ละยุคแตกต่างกัน 10 ก่อนก่อนกอดขาไม่ยอมให้ไป ยุคนี้เศร้าก็ชิลล์เดี๋ยวก็หาใหม่
3. บางออฟฟิศที่ประเทศญี่ปุ่นคนที่สูบบุหรี่ลาพักร้อนได้น้อยกว่าคนอื่น 6 วัน เพราะเขามีการคำนวนว่าคนที่สูบบุหรี่ใช้เวลากดลิฟท์ลงไปสูบบุหรี่บ่อยกว่าคนทั่วไป ถ้าอยากมีวันลาเหมือนคนอื่นก็เลิกบุหรี่
4. เรื่องใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากเราไม่ควรมานั่งรอความสุขจากสิ่งรอบข้าง เมื่อไหร่จะได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเมื่อไหร่เราเอาความสุขไปผูกกับใครก็จะไม่มีความสุขได้ดั่งใจเรา เรื่องงานนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าออฟฟิศให้อะไรกับเรา แต่อยู่ที่เรารู้สึกยังไงกับสิ่งที่ออฟฟิศให้ เหมือนกับการใช้ชีวิตว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่มี
5. ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีอะไร… ไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องมีแฟน คนเราโสดก็มีความสุขได้ “มากสุดก็แค่เหงา ดีกว่าเศร้าถ้าเขาไม่ใช่” ต้องไปผูกกับความสุขว่ามีแฟนแล้วต้องใช่ กลายเป็นความทุกข์อีก
6. การปรับวิธีคิด… ได้ยินคำว่าคิดบวกมาตลอดชีวิต ต้องแยกคิดบวก กับหลอกตัวเองก่อน ทุกวันนี้คำว่าโลกสวยกลายเป็นคำด่า ต่างกันคืออยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง คนที่หลอกตัวเองคือ คนที่ส่องกระจกแล้วบอกว่า ออกหักก็หาใหม่ได้ เรามีวัตถุดิบพร้อม โปรไฟล์พร้อม แต่คนที่คิดบวกคือ คนที่ส่องกระจกแล้วบอกตัวเองว่า เอาวะอกหักก็ยังหาใหม่ได้เพราะฉันไม่ยอม ไม่ได้บอกว่าฉันดีมาก เลิศมาก แต่คนที่มองว่า… ไม่ว่าโลกจะสั้นกี่เปอร์เซนต์ แต่ต้องสุขให้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่มี สุขจากวิธีคิด
7. ทำงานที่ใดก็ตามเราอยากได้ที่ทำงานที่ดีกับเรา เจ้านายเข้าใจเรา… งานเท่านั้นที่เราพอจะเลือกได้ แต่พอเข้าไปก็ใช้ชีวิตตามเงื่อนไข หลายคนลาออกจากงานเพราะสังคมไม่ดี มนุษย์มีความหลากหลายทางชีวภาพ อยู่ที่ว่าจะดีลคนเหล่านั้นยังไง วิธีคิดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
8. หลายคนคิดว่า Club Friday เป็นกูรูความรัก แต่จริงๆ ไม่ได้แก้ปัญหาให้ใคร อยู่ที่วิธีคิดทั้งนั้น… หลายคนมาปรึกษาก็บอกว่าทำใจ “ไม่ว่าอยู่หรือไปก็ไม่มีผลกับใจเขาแล้ว” วิธีของ Club Friday คือ “วิธีคิด” ถ้าเสียใจก็ร้องไห้ไปเลย การพยายามเข้มแข็งในวันที่อ่อนแอแผลจะใหญ่กว่าเดิม วินาทีแรกบนโลกยังร้องไห้เลย โลกสอนให้เรารู้ว่าเติบโตไปยังมีอะไรให้ร้องไห้อีกเยอะ
9. ผู้ชายก็ร้องไห้ได้… แต่บรรพบุรษสอนมาว่าไม่ให้ร้องไห้จะไม่ใช่ลูกผู้ชาย เป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติมากที่สุด มีการวิจัยออกมาว่าผู้ชายมีการฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง เพราะไม่มีกลไกในการร้องไห้เพื่อระบายความในใจ ผู้ชายจะไม่โทรไปเล่าใน Club Friday จะส่งอีเมลมามากกว่าเพราะมองว่าเป็นส่วนตัวกว่า ถ้าเป็นไปได้ผู้ชายควรหาวิธีระบายของตัวเองบ้างก็ดี
10. นี่คือเหตุผลที่ผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงอนุญาตให้เสียใจเมื่อไหร่ก็ได้ ร้องไห้เป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงเลยมีภูมิคุ้มกันเรื่องความเศร้า “เจ็บ 10 เล่าไป 100” วิธีการของผู้หญิงคือ “เรื่องเศร้าแค่เล่าก็เบาลง” เพราะผู้หญิงชอบเล่า ชอบระบาย พอน้ำตาแห้งก็ตบแป้งแล้วเดินออกจากห้องน้ำได้
11. เราต้องใช้ชีวิตกลับไปตามธรรมชาติ รักษาตามอาการ แย่ก็ร้องไห้ บอกไม่ได้ว่าร้องไห้ถึงเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่เคยเห็นข่าวใครร้องไห้แล้วตายคาที่ เวลาอกหักต้องรักษาตามธรรมชาติเช่นกัน เศร้าก็ร้องไห้… ปัญหาในโลกมี 2 อย่าง ปัญหาที่ต้องแก้ กับแค่ยอมรับมันให้ได้ เวลามีปัญหาไม่ว่าเรื่องงาน หรือความรักให้คิดก่อนว่าต้องแก้ หรือยอมรับแต่เปลี่ยนเขาไม่เท่ากับปรับเรา
12. คนเราต้องมีการ “ประชุม” กับตัวเอง ไม่ใช่แค่คุยกับตัวเอง เพราะการประชุมจะมีฝ่ายค้านด้วย ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หรือเศร้า ต้องประชุมกับตัวเองก่อน จะได้รู้ว่าวันนี้มีความสุขกับตัวเองจริงหรือเปล่า
13. ทุกปัญหาเกิดจาก “การสื่อสาร” เรามีอุปกรณ์สื่อสารอยู่ข้างตัวจนกลัวการไม่สื่อสาร เวลาส่ง LINE หาใครจะกังวลว่าอ่านไม่ตอบ หรือตอบช้าก็กังวล ปัญหาความรักที่เกิดขึ้นตอนนี้เกิดจากการสื่อสารทั้งนั้น บางคนเรียกร้องให้คุยกันตรงๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับไม่ได้ มีอะไรฟังกัน สำคัญกว่ามีอะไรคุยกันทุกเรื่อง
14. การทำงานทุกที่เป็นพีรามิด มีคนอยู่บนยอดแหลม และมีคนอยู่ฐานล่าง คนเป็นลูกน้องขีดเส้นรอบวงแล้วทำในเส้นรอบวง หรือหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไม่ให้โดนด่า แต่เจ้านายต้องดูเส้นรอบวงหลายๆ วงมีภาระเยอะกว่า
15. คนไทยโกหกสองคำคือ “ไม่เป็นไร” กับ “โอเค” อยากรู้ความจริงให้ไปดูสเตตัสในเฟซบุ๊ก จะมีความจริงซ่อนอยู่ในนั้นบางคนชอบสร้างความสุขด้วยการปลุกระดมจากการตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กแล้วมีคนกดไลค์ เรียกว่าเป็นการ “บ่นบำบัด” เหมือนมีความสุขที่มีพวก แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
16. เนื้อหาในการสื่อสารไม่สำคัญเท่า “วิธีการสื่อสาร” การคุยกันตรงๆ ไม่จำเป็นต้องแรง คนเราปรับวิธีการคุยได้ไม่ว่าจะเรื่องการทำงาน หรือความรัก อยากเป็นคนมีค่าในสายตาคนอื่น ไม่ว่าเรื่องงาน หรือความรักต้องแก้ปัญหาที่การสื่อสาร
17. โซเชียลทำให้เรารออะไรไม่ค่อยเป็น มีวิจัยว่าไปสั่งอะไรแล้วต้องรอจะเริ่มรู้สึกหงุดหงิด แล้วอาการรอไม่เป็นจะเอามาใช้กับทุกอย่างในชีวิต พอถึงวันนึงเราก็ต้องปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลง ปัญหาในสังคมไทยทุกวันนี้เกิดจากการใช้เวลาน้อยทั้งนั้น ทุกอย่างต้องใช้เวลา
18. 4 แนวคิดของคนยุคนี้ที่ต้องยึดถึง “ต้องรอให้เป็น เย็นให้ได้ อย่าชิงตัดสินใคร ให้ทุกครั้งที่มีโอกาส”
19. ถ้าหมดไฟในการทำงานควรประชุมกับตัวเอง คนเราแต่ละวันไม่เหมือนกัน บางวันขี้เกียจตื่น บางวันมีไฟ ถ้าวันที่หมดไฟเป็นสัญญาณเตือนว่าต้องหยุดพักไปทำสิ่งที่อยากทำบ้าง ใช้ชีวิตตามอำเภอใจบ้าง ได้ออกนอกเส้นทางบ้างก็มีสีสันในชีวิต หมดไฟเป็นแค่เบื่องานเฉยๆ เหมือนคนที่เป็นแฟนไม่ได้ตกหลุมรักทุกวัน เบื่อกัน แต่ไม่ทิ้งกัน หมดไฟพักก่อนแล้วค่อยกลับมาลุยต่อ ต้องเปลี่ยนที่หายใจบ้าง
20. การงาน หรือความรักทุกคนต้องเป็น 2 บทบาท เป็น “เซลล์” ทำงานก็เป็นเซลล์ต้องขายของให้ได้ ความรักก็เป็นเซลล์ขายตัวเองให้ได้ว่าเรามีดีอย่างไร และต้องเป็น “ผู้บริหาร” โดยเฉพาะผู้บริหารเวลา ต้องทำงานอย่างมีความสุข พร้อมกับดูแลคนที่เรารัก “สุขก็เล่าเศร้าก็ยังฟ้องใครได้”
21. การเปลี่ยน Mind Set ในการทำงาน ต้องเปลี่ยนทุกเจนเนอเรชั่น ตอนนี้ทุกคนเติบโตมาในยุคการสื่อสารคล่องมาก เด็ก 2 ขวบใช้สมาร์ทโฟนคล่องมาก สิ่งแวดล้อมมาขนาดนี้ต้องให้ทุกเจนเดินหน้าไปด้วยกัน ทุกเจนมีข้อดีข้อเด่นของตัวเอง อยู่ที่ว่าเอาจุดเด่นของแต่ละเจนออกมาให้มากสุด
22. มีการพูดถึงว่าเด็กรุ่นใหม่จะมีการเบื่องานง่าย จริงๆ แล้วการเบื่องานอาจจะเกิดจากการตัดสินอะไรเร็วไป บางทีอาจจะไม่รู้จักงานนี้ทุกมุมเลยก็ได้ ต้องเปลี่ยนทุกมุม ให้เปิดรับ ให้เวลากับทุกเรื่อง อย่าตัดสินทุกอย่างเร็วไปจนพลาดทุกอย่างในชีวิต เพราะไม่ให้โอกาสในชีวิต
23. ถึงแม้ว่าคนรุ่นใหม่เป็นคนเบื่องานง่าย แต่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ มีประโยชน์ต่อองค์กรได้เช่นกัน สตาร์ทอัพก็เกิดจากคนกลุ่มนี้ เพราะเจนก่อนๆ มีเงื่อนไขเยอะ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าคนเจนก่อนๆ ล้าสมัย ความคิดไม่ได้เรื่อง คนแต่ละเจนมีประโยชน์ต่างกัน ต่อให้เจนก่อนๆ เป็นคนที่เจนใหม่มองว่าไม่ทันสมัย แต่สร้างโลกใบนี้รอน้องมาเกิด สังคมผู้สูงอายุดูเป็นปัญหา แต่คือคนที่สร้างโลกสร้างสังคมมาพอสมควร ถ้าต้องแก้ต้องแก้ทัศนคติโดยรวม
24. “มีอะไรคุยกันไม่เท่ามีอะไรฟังกัน” ต้องฟังด้วยความเข้าใจ ถ้าฟังแล้วเถียงก็ทำด้วยกันไม่ได้ ต้องให้คุณค่า และให้เกียรติกัน
25. มีสถิติในแต่ละองค์กรต้องมีคนทำงานมากกว่า 3 เจน คนรุ่นก่อนมีกรอบแข็งแรง เป็นกรอบเส้นประ ไม่หนาเตาะ คนรุ่นใหม่มีไฟ มีความคิดสร้างสรรค์แต่ละเจน ดึงข้อดีแต่คนเจน ไม่มีคนสมบูรณ์แบบ ดูข้อดี และให้อภัยในข้อเสีย
26. คนปรึกษาเรื่องความรักเยอะ เพราะคนทั่วไปคิดว่าเรื่องงานตัวเองสามารถเอาอยู่ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่เรื่องความรักความพยายามอยู่ที่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้เขารักเราได้ แต่ทั้ง 2 ปัญหามีวิธีการแก้เหมือนกันมาจากการสื่อสาร มีหัวใจเป็นวัตถุดิบใหญ่ “ถ้าหัวใจแข็งแรงก็มีแรงไปทำงาน”
27. ปัญหาเรื่องงาน กับเรื่องความรักเหมือนกัน ปลายทางเดียวกัน บางคนไม่มีปัญหาความรักเรื่องแฟน ก็มีปัญหาเรื่องรักในงาน รักองค์กร รักครอบครัว ทุกอย่างมีวัตถุดิบอยู่ที่ใจ เช่น หัวหน้าต้องมาแก้ปัญหาความรักคนในองค์กร ต้องแก้ที่การสื่อสารเป็นปัญหาใหญ่ ต้องสื่อสารในองค์กร สื่อสารไปยังลูกค้า ใช้การสื่อสารตลอดชีวิต เจ้านายสื่อสารกับลูกน้องยังไงให้รู้เรื่อง
28. เชื่อว่าตอนนี้คนพูดเยอะกว่าฟัง เราฟังเพื่อที่จะพูด มีผลสำรวจว่าคนออกมาพูดหน้าห้องแล้วให้คนวิจารณ์ตัวเอง พบว่าคนเราจะฟังเพื่อเถียง พอพูดและจะฟังน้อยลง ต้องสื่อสารไปกับเขา ต้อง Balance การพูดการฟังให้สมดุลกัน “ฟังแล้วทำความเข้าใจ ไม่ใช่การฟังเพื่ออธิบาย”
29. ทัศนคติเป็นปัญหาอีกอย่างของการทำงาน ทำให้เราเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้ามีทัศนคติไม่ดีต่อองค์กร งานที่ออกมาไม่ได้ถูกหล่อหลอมจากความรัก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์กร ถ้ามาจากความรักเราจะรู้สึกเป็นเจ้าของ อยากทำให้ดี อยากให้ไม่โดนด่า คนทำงานด้วยความรัก กับทำงานแบบขอไปทีมีผลต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ต้องมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร คนทำงานด้วยกัน และต่อตนเอง
30. คนทำงานมี Passion เดียวกันคือ “เงินเดือน” แต่ก็ต้องทำให้เขาจ่ายเงินเดือนให้ได้ทุกเดือนเช่นกัน สุดท้ายก็วนกลับมาที่ประสิทธิภาพการทำงาน ต้องทำงานนี้ให้ดีที่สุด
31. ทุกวันนี้คนเราวัดความสำเร็จจากเงินมากเกินไป คนรุ่นใหม่เลยชอบมีธุรกิจของตัวเอง มองว่าขายของใน IG ก็ได้เงิน แต่คุณจะเป็นเจ้านายที่ดีไม่ได้ ถ้าไม่เคยเป็นลูกน้องที่ดีก่อน อดีตของเจ้านายที่ดีจะเป็นลูกน้องที่ดีมาก่อน จะมีความเข้าใจว่าลูกน้องต้องการอะไร อยากได้เจ้านายแบบไหน
32. งานดีเจของพี่อ้อยก็ต้องมาจากคนฟังที่เก่งมาก่อน ฟังได้หมด ชอบก็ฟัง ไม่ชอบก็ฟัง ต้องมีประสบการณ์ก่อน ถึงจะรู้ได้ว่าคนฟังชอบแบบไหน จะเป็นผู้ให้ที่ดีต้องเป็นผู้รับที่ดีมาก่อน งานก็เหมือนกัน… เกิดมาเป็นเจ้านายเลยจะรู้ได้ไงว่าตอนเป็นลูกน้องรู้สึกยังไง อยากได้อะไรบ้าง สุดท้ายการเป็นลูกน้องก็เป็นเจ้านายบางส่วน เจ้านายในการเอาชนะความขี้เกียจ ลุกขึ้นมาลำบาก อย่ามองว่าเป็นเจ้านายต้องได้เงินมากมายเสมอ ลูกน้องดูแลแต่เส้นรอบวงตัวเอง แต่เจ้านายต้องดูหลายเส้นรอบวง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา