เป็นที่ทราบกันดีว่าในประเทศพัฒนาแล้ว รถยนต์ไฟฟ้า เริ่มกลายเป็นพาหนะที่พบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนนมากขึ้น
ตัวเลขที่น่าสนใจคือ เมื่อปี 2021 ยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในนอร์เวย์ คิดเป็น 65% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด หรือคิดง่ายๆ คือเกือบๆ 2 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ทั้งสิ้น 176,276 คัน
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนอร์เวย์จึงเป็นประเทศที่มีสัดส่วน รถยนต์ไฟฟ้า บนท้องถนนสูงที่สุดในโลก
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ตั้งแต่ปี 2017 สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (เทียบกับยอดขายรถทั้งหมด) เพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 10% (จากข้อมูลของ Norwegian Road Federation)
- 2017: 20.9% ของยอดขายรถทั้งหมด
- 2018: 31.2% ของยอดขายรถทั้งหมด
- 2019: 42.4% ของยอดขายรถทั้งหมด
- 2020: 54% ของยอดขายรถทั้งหมด
- 2021: 65% ของยอดขายรถทั้งหมด
โดยในปี 2022 รัฐบาลตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะดันยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า ให้ได้ถึง 80% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่ง Christina Bu ประธานสมาคมรถยนต์ไฟฟ้านอร์เวย์ชี้ว่าเป้าหมายนี้เป็นไปได้จริง
นอกจากนี้ นอร์เวย์มีเป้าหมายที่จะ ยุติการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในโดยสิ้นเชิงภายใน 2025 โดยนโยบายที่จะใช้ผลักดันเรื่องนี้ คือ การเพิ่มภาษีรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิล และยกเว้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า
นอร์เวย์ ดำเนินนโยบายสองทาง
เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานแล้ว รัฐบาลยังออกนโยบายด้านภาษี งดเว้นการเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และเตรียมขึ้นภาษีรถยนต์น้ำมัน
การงดเว้นการเก็บภาษีทำให้ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลนอร์เวย์สูญเสียรายได้ไปกว่า 3 หมื่นล้านโครน หรือเกือบ 1.13 แสนล้านบาท จากประมาณการของกระทรวงการคลัง
ดังนั้น นอร์เวย์จึงเตรียมออกนโยบาย 2 ทาง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐบาลโดยไม่กระทบต่อการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า คือ
- ขึ้นภาษีรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิล ภายในปีนี้
- กลับมาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 25% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในเซกเมนต์ Luxury (ราคาเกิน 60,000 โครน หรือราว 2.26 ล้านบาท) ภายในปี 2023
Brand Inside เคยทำบทวิเคราะห์เกี่ยวกับภาษีรถยนต์ไฟฟ้าไว้เช่นเดียวกัน สามารถอ่านได้ที่นี่: ถ้าลดราคา รถยนต์ไฟฟ้า 1 แสนบาท จะซื้อหรือไม่
ที่มา – Reuters (1)(2), Autoblog
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา